ตอนที่ 53 มากถึงเพียงนี้

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า พวกท่านอยู่ที่ไหนกันขอรับ ข้าอยู่ทางนี้” 

จางอี้หมิงเดินฝ่าซากศพที่กองเกลื่อนกลาดด้วยหัวใจที่สั่นไหว เขาเดินอยู่นานจนจำไม่ได้แล้วว่ามาเดินอยู่ตรงนี้กี่ชั่วยาม เด็กน้อยวิ่งจนทั่ว เดินจนขาอ่อนแรงก็หาได้เจอกับชาวบ้านหรือคนทั่วไปไม่ ศพทุกศพต่างมีร่างกายแข็งทื่อ หิมะเกาะเต็มตัว บางศพดวงตายังเบิกโพลง เด็กชายเดินผ่านศพแล้วศพเล่าแต่ก็หาได้เจอบิดา มารดาหรือว่าท่านย่าของเขาไม่

อี้หมิงน้อยตกใจจนเสียขวัญ เขาไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว ประกอบกับร่างกายเริ่มหนาวเย็นและสั่นเทาขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่ได้ เด็กชายเริ่มก้าวขาออกเดินอย่างยากลำบาก ร่างกายมันหนักเสมือนตนเองแบกก้อนหินอันใหญ่ไว้บนหลัง เมื่อก้าวขาไม่ออก ร่างน้อย ๆ จึงล้มลงไปที่พื้นอย่างหมดหนทาง

“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย” จางอี้หมิงตะโกนออกมาสุดเสียง ส่งผลให้นางหูที่นอนอยู่ด้วยกันบนแคร่ไม้ไผ่สะดุ้งตื่นและหันมาตรวจดูหลานชาย โชคดีว่าเวลาใกล้สว่างแล้วจึงพอมีแสงส่องเข้ามารำไร

"หมิงเอ๋อร์ เจ้าเพียงฝันร้าย อย่ากลัวไปเลย ย่าอยู่นี้แล้ว” นางหูเขย่าตัวหลานชายให้ตื่นและโอบกอดเอาไว้ นางลูบหลังลูบผมอย่างปลอบโยน

“ท่านย่า ข้ากลัวขอรับ” 

จางอี้หมิงรู้สึกตัวตื่นอย่างเต็มตา เขาโผกอดนางหู ตระหนักรู้ว่าตนเองเพียงฝันไปเท่านั้น แต่ภาพความโหดร้ายของฤดูหนาว ศพมากมายกลับติดตาเขาอย่างชัดเจน เด็กชายทำได้เพียงกอดท่านย่าของตนเองเพื่อคลายความหวาดกลัว

 .

เช้าวันใหม่ท้องฟ้าสว่างสดใส แสงแดดรำไรลอดส่องมาทางฝาบ้านซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะกลายเป็นอดีต จางอี้หมิงที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายไม่ค่อยสดใสมากนัก ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันที่นายช่างเหอจะส่งมอบบ้านหลังใหม่ให้กับครอบครัวจางก็ตามที

นายช่างเหอแจ้งให้ครอบครัวจางรู้เมื่อหลายวันก่อนว่าบ้านที่พักอาศัยของสกุลจางสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำความสะอาดสักหนึ่งถึงสองวันก็พร้อมขนเครื่องเรือนเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ บ้านใหม่นี้เสร็จตามกำหนดหนึ่งเดือนที่ท่านอ๋องรับสั่ง 

บ้านของท่านอาจารย์เทียนอี้กับสองหมิงสร้างเสร็จไปเมื่อสิบกว่าวันก่อนแล้ว และพวกเขาก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่มาตั้งแต่ตอนนั้น

“หมิงเอ๋อร์ เจ้ายังกังวลถึงความฝันเช่นนั้นหรือ วันนี้เป็นวันที่ดีเราจะได้บ้านใหม่กันแล้ว ย่าว่าวางฝันร้ายไว้ก่อน มาชื่นชมบ้านใหม่กันเถอะ ดูสิ เจ้าชอบหรือไม่” นางหูเอ่ยกับหลานชาย

“ขอรับท่านย่า” จางอี้หมิงตอบรับพร้อมกับเดินไปที่บ้านใหม่ โดยมีนายช่างเหอซีรออยู่ก่อนแล้ว

หลังจากที่กล่าวทักทายกัน นายช่างจึงได้พาเดินชมพลางแนะนำบ้านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมดหน้าที่ของเขา

“บ้านเป็นแบบธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ได้วัสดุก่อสร้างที่ดี มีคุณภาพ และเครื่องเรือนก็ใหม่เอี่ยม มีคุณภาพดีตามคำสั่งท่านอ๋อง พวกเจ้าตามข้ามา ข้าจะแนะนำอีกครั้ง.......” นายช่างเหอพาครอบครัวจางเดินดูบ้านแต่ละห้องและอธิบาย รวมทั้งบอกว่ามีความพิเศษเช่นไรบ้าง ของตกแต่งเอามาจากไหน อย่างไร

“ที่สำคัญ พวกเจ้าต้องชอบห้องนี้เป็นแน่” 

นายช่างเหอพาสมาชิกครอบครัวจางตรงมายังห้องครัว ซึ่งมันเป็นไปตามที่จางอี้หมิงต้องการทุกอย่าง มีเตาอบที่กว่านายช่างเหอจะทำสำเร็จต้องรื้อ ต้องแก้ไปหลายครั้งตามคำสั่งของเด็กน้อย รวมทั้งปล่องลมที่เก็บควันให้ลอยออกไปนอกบ้านหากต้องจุดเตาผิง ซึ่งจางอี้หมิงตั้งใจออกแบบให้เหมือนเตาผิงของแถบยุโรป มีทั้งพื้นที่ในการทำอาหารและการเตรียมอาหาร เขาเลือกทำเหมือนเคาน์เตอร์ รวมทั้งชั้นวางผักและเครื่องเทศต่าง ๆ 

“นี่มันมิใช่ว่า...” นางหูเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ

“ใช่แล้วฮูหยินจาง ห้องลับ” นายช่างเหอเอ่ยขึ้นก่อนที่จะอธิบายต่อไป

ความจริงแล้ว เป็นห้องที่ขุดลงไปใต้ดิน มีบันไดไต่ลงไปรวมทั้งมีที่จุดไฟ นายช่างเหอทำปล่องเพื่อให้อากาศเข้ามาทางปล่องควันที่สร้างเชื่อมต่อกับเตาผิง จางอี้หมิงถึงกับอึ้งในความรู้ความสามารถของนายช่างเหอ เขาสามารถทำฝาปิดให้เหมือนกับพื้นบ้านแล้วเอาพรมมาปิดไว้ ช่างแนบเนียบจริงๆ

ห้องลับนี้มีขนาดที่กว้างเท่าหนึ่งห้องนอน ในนั้นมีชั้นวางตั้งอยู่ เหมาะมากสำหรับการหลบภัย การเก็บซ่อนของมีค่าหรือสะสมอาหาร

นอกจากห้องลับแล้ว ยังมีห้องเก็บอาหารที่ขุดลึกลงไปในพื้นดินอีกด้วย เป็นห้องเก็บอาหารเหมือนครัวเรือนทั่ว ๆ ไป 

เสร็จจากบ้านหลักแล้ว นายช่างเหอยังนำไปที่บ้านเล็กอีกสองหลังซึ่งทำเป็นพื้นที่โล่งแต่มีฝาบ้านเท่านั้น

จางอี้หมิงถึงกับยิ้มกว้างกว่าเดิมเพราะนายช่างเหอสามารถทำรางไม้สำหรับปลูกผักฤดูหนาวที่จางอี้หมิงได้สัญญาไว้กับหนิงอ๋องได้อย่างดี นายช่างเหอจัดทำได้ตามที่เด็กน้อยต้องการทุกอย่าง รวมทั้งบริเวณใช้เก็บฟืนด้วย

สำหรับบ้านอีกหลังที่อี้หมิงต้องการให้เป็นสถานที่ทำงานของกลุ่มการค้าหลัวถง เด็กน้อยออกแบบให้มีโครงสร้างคล้ายกับโรงงาน จึงมีห้องแตกต่างแยกกันออกไป ก่อนหน้านี้ อี้หมิงต้องการเพียงบ้านโล่ง ๆ แต่เมื่อรับปากว่าจะผลิตอาหารให้ท่านอ๋องแล้ว จางอี้หมิงจึงเปลี่ยนแบบบ้านใหม่ เขาเพิ่มห้องเก็บเอกสาร ห้องทำงาน ห้องเก็บสินค้า และห้องครัว คล้ายโรงงานขนาดย่อม

“นายช่างใหญ่ ข้าขอเป็นตัวแทนของครอบครัวสกุลจางขอบคุณนายช่างเป็นอย่างมากที่ทุ่มเทสร้างบ้านที่สวยงามเช่นนี้ให้กับพวกเรา” จางอี้เทายกมือคารวะ สมาชิกบ้านจางที่เหลือจึงทำตามด้วย

“อย่าได้มากพิธี ข้าก็ได้กำไรจากการสร้างบ้านของเจ้าไม่น้อย รวมถึงวิธีการสร้างบ้านแปลกแบบ ๆ ด้วย ไม่แน่ว่าในอนาคต เศรษฐีคนอื่นอาจจะชื่นชอบแบบบ้านของเจ้าก็เป็นได้ ข้าว่ามันน่าสนใจมาก ทั้งที่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเอาไว้ใช้ทำอันใด มันจะใช้ได้ตามที่เจ้าต้องการหรือไม่ หากในอนาคตอยากให้ข้าแก้ไขหรือสร้างอันใดอีก เจ้าก็ไปหาข้าได้เสมอ” นายช่างเหอตบลงไปบนบ่าของจางอี้เทาสองสามที

 เมื่อทำการส่งมอบบ้านเสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง นายช่างเหอจึงขอตัวกลับเข้าเมือง ปล่อยให้บ้านจางได้ชื่นชมบ้านของพวกเขาอย่างเต็มที่

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากได้น้องชายน้องสาวแล้วขอรับ เมื่อไหร่ท่านพ่อกับท่านแม่ถึงจะมอบน้อง ๆ ให้ข้ากันเล่า บ้านเรามีเงินเยอะแยะแล้ว มีน้อง ๆ มาเพิ่มอีกสักคนสองคนก็น่าจะดีนะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดาและมารดาด้วยหน้าตาใสซื่อ ทำตัวยังกับเด็กไร้เดียงสา แต่จางอี้เทาหาได้หลงกลหน้าตาใสซื่อนั้นไม่ ถึงกับจิ้มนิ้วลงไปบนเอวของบุตรชาย

“เจ้ากล้าล้อเลียนบิดาเช่นนั้นหรือ”

จางอี้หมิงวิ่งหนีบิดาไปรอบ ๆ โดยไม่สนใจมารดาที่ยืนหน้าแดง หูแดงอยู่ข้าง ๆ แม่สามีที่มองมายังนางด้วยสายตาล้อเลียน

 .

รถม้าคันใหญ่ที่มีสมาชิกครอบครัวจางนั่งอยู่กำลังมุ่งหน้าตรงสู่เมืองไห่ถัง มีหมิงจูเป็นผู้บังคับรถม้าและมีหมิงจินนั่งข้าง ๆ พี่ชาย

ภายในรถม้า จางอี้หมิงกำลังร่ายรายการสินค้าที่จะซื้อในวันนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นางหูและหลี่อ้ายจึงได้แต่มองตามแล้วก็ส่ายหน้าให้กับความเรื่องมากของเด็กชายคนสำคัญประจำบ้าน

สมาชิกบ้านจางตัดสินใจเข้าเมืองเพื่อซื้อของที่จำเป็นหลายอย่างเข้าบ้าน ถึงแม้ว่าท่านอ๋องจะจ่ายค่าเครื่องเรือนไปแล้ว แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องจัดซื้อเข้าไปเอง ด้วยมีรถม้าเป็นของตนเองแล้ว การเดินทางจึงสะดวก นางหูไม่อิดออดที่จะเดินทางมาด้วยเพราะนี่คงเป็นครั้งแรกที่นางจะได้ไปเดินตลาดซื้อของเอง หญิงนางไหนก็ชอบเดินตลาดกันทั้งนั้นมิใช่หรือ

“ท่านพ่อ ฟูกนอนต้องเอาที่หนาหน่อยนะขอรับ”

“ท่านพ่อ แป้งสาลี เมล็ดข้าวสาลี ข้าต้องการมากที่สุด”

“ท่านพ่อ ขาดไม่ได้เลยคือเนื้อนะขอรับ” 

และอีกหลายอย่างที่จางอี้หมิงร่ายออกมา จนจางอี้เทาได้แต่ก้มหน้ารับฟังเพียงอย่างเดียวด้วยความอ่อนใจ

เอาเถอะ ถือว่าเงินทั้งหมดนี้เป็นเจ้าหามา เจ้าจะใช้ซื้อของอันใดก็สมเหตุสมผลแล้ว

เมื่อจ่ายค่าผ่านทางเข้ามาแล้ว จางอี้หมิงให้รถม้าพามารดาและท่านย่าไปเดินเล่นในตลาดก่อนตามประสาผู้หญิง โดยให้หมิงจินตามไปช่วยถือของและทำหน้าที่องครักษ์ด้วย ส่วนตนเองกับท่านพ่อนั้น จางอี้หมิงให้ไปส่งที่เหลาอาหารซิ่งฝู เพียงแค่เขาลงจากรถม้ากำลังจะเดินตรงไปหาท่านปู่ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในเหลาอาหารด้วยซ้ำ สองพ่อลูกสกุลจางกลับถูกชายผู้หนึ่งเข้ามาขวางหน้าไว้

“เด็กน้อย น้องชาย พวกเจ้ากำลังจะไปที่ใด” ชายคนหนึ่งที่ดูภูมิฐานเอ่ยถามขึ้น

“ข้ากับลูกกำลังจะเข้าไปในเหลาอาหาร มิทราบว่าพี่ชายมีอันใดหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถามกลับ

“เจ้ามิเห็นเช่นนั้นหรือว่าพวกข้ากำลังต่อแถวกันอยู่ เจ้าเป็นใครถึงจะได้เข้าไปในเหลาอาหารก่อนพวกข้าที่มายืนต่อแถวตั้งนานแล้ว” 

“เอ่อ...พี่ชายคงเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้มากินอาหารที่เหลาซิ่งฝูขอรับ ข้าเพียงมาพบเถ้าแก่หลินเพียงเท่านั้น เช่นนี้พวกเข้าสองคนพ่อลูกคงไปได้แล้ว ใช่หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยแก้ความเข้าใจผิดให้ชายคนนั้นได้ฟัง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับแล้ว สองคนพ่อลูกจึงเดินผ่านเข้าไปและตรงไปยังห้องทำงานของเถ้าแก่หลินด้านในทันที

“หมิงหมิงน้อย อาเทา ลมอันใดหอบเจ้ามาหาข้าในวันนี้” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยทักทายขึ้น ซึ่งสองพ่อลูกบ้านจางก็กล่าวทักทายกลับไปตามมารยาท

“ท่านปู่ ลมคิดถึงน่ะสิขอรับ ข้าคิดถึงท่านปู่ท่านย่าใหญ่มากเลยขอรับ” จางอี้หมิงได้ทีออดอ้อนเสียงหวาน

“ไม่ต้องมาอ้อนข้า เด็กเจ้าเล่ห์เช่นเจ้าเชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย” หลินไห่ใช้นิ้วมือจิ้มไปบนหน้าผากของเด็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างถูกใจเมื่อจางอี้หมิงลูบหน้าผากตนเองป้อย ๆ ทำท่าทางราวกับเจ็บนักหนา

“ปู่ไม่ว่าเจ้าแล้ว หมิงหมิงน้อยรู้หรือไม่ รายการอาหารเดือนนี้มีคนจองจนร้านเนื้อหาเนื้อมาให้ไม่ทันแล้ว” หลินไห่เอ่ยขึ้นความสุขใจ

“ท่านปู่มิใช่ว่าหมายถึง สวยสังหาร นะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะสวยสังหารเป็นอาหารที่เขาได้ความคิดมาจากร้านเนื้อซึ่งเน่าจากการหมักด้วยเกลือผัก เขาได้มันมาอย่างไม่ต้องเสียเงินสักตำลึง

ถ้าเอาตามสมัยปัจจุบัน สวยสังหารก็คือเนื้อแดดเดียวสมุนไพร นั่นเอง โดยเขาแนะนำเป็นรายการกับแกล้ม ไม่นึกว่าชาวเมืองไห่ถังจะชื่นชอบถึงเพียงนี้

“เจ้ารู้หรือไม่ ปู่ทำตามที่เจ้าบอก ให้รับใบสั่งซื้อและทำส่งให้กับเรือนเศรษฐี คหบดี และจวนเจ้าเมือง ด้วยพวกเขาต่างก็ต้องต้อนรับแขกบ่อยครั้ง เมื่อรับแขกก็ต้องมีการสังสรรค์สุรา ไม่นึกว่าจะขายดีเช่นนี้” หลินไห่เอ่ยชื่นชมเด็กน้อยไม่หยุดที่ขยันคิดค้นรายการอาหารออกมา

“ท่านปู่ ตอนที่ข้าเดินเข้ามา ข้าเห็นลูกค้ายืนต่อแถวเพื่อรอเข้ามากินอาหารที่เหลาของท่านเป็นจำนวนมาก” จางอี้หมิงเอ่ยขึ้น

“นี่ก็เป็นปัญหาที่ปู่ก็คิดไม่ออกมาหลายวันแล้ว ทั้งที่ปู่บอกไปแล้วว่าไม่มีห้องว่างเหลือเลย พวกเขาก็ยังเต็มใจยืนรอเพื่อที่จะได้ชิมอาหารของเหลาซิ่งฝู” หลินไห่ตอบหลานชายพลางถอนหายใจเสียงดัง

“ท่านปู่ ต่อไปให้ท่านปูออกตั๋วจองสำหรับมากินอาหารที่เหลาซิ่งฝูสิขอรับ กำหนดเวลาให้แต่ละตั๋วสามารถใช้เวลาได้กี่ชั่วยาม หากเกินเวลาก็ปรับ ข้อดีคือหนึ่ง ลูกค้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมายืนรอซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้กินหรือไม่ สองคือ ท่านลุงอู๋ก็จะสามารถจัดเตรียมวัตถุดิบไว้ให้เพียงพอกับอาหารที่ต้องปรุง วัตถุดิบจะได้ไม่เหลือมาก เมื่อเราสามารถจัดซื้อวัตถุดิบได้เหมาะสม ผัก เนื้อของเราก็สดใหม่ 

สำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถมาได้ ก็เพียงเอาตั๋วจองนั้นมาขายคืนให้กับเหลา เราก็เปิดขายใหม่ แต่ถ้าหากคืนบ่อย ๆ เราก็จำกัดการจองของคนนั้นไปสักหนึ่งเดือน เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงบอกวิธีการแก้ไขปัญหาให้ เขาเอาระบบการจองตั๋วดูคอนเสิร์ตหรือจองคิวร้านอาหารปิ้งย่างมาใช้

“โอ้ หลานปู่ เจ้าช่างเก่งกาจยิ่งนัก ปู่เข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามาก” 

“หามิได้ขอรับ” 

“พวกเจ้ารอสักครู่ ปู่จะไปนำเงินค่าส่วนแบ่งตลอดหนึ่งเดือนมานี้ให้กับเจ้า” หลินไห่พูดเสร็จแล้วจึงลุกออกไปจากห้อง ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับตั๋วเงินหนึ่งใบของร้านจินฟู่มายื่นให้จางอี้เทา

จางอี้เทารับตั๋วเงินมาแล้วจึงก้มมองดูจำนวนตัวเลขที่ปรากฏบนตั๋วเงิน เมื่อมองดูดี ๆ แล้ว เขาถึงกับมือสั่นขึ้นมาทันที

“ท่านพ่อบุญธรรม ได้มากถึงเพียงนี้หรือขอรับ” จางอี้เทาเงยหน้าเอ่ยถามบิดาบุญธรรมเสียงสั่น

“นี่เป็นเพียงรายได้ของเดือนแรก สำหรับเดือนนี้ยังไม่ได้จ่ายให้บ้านสกุลจางแม้แต่ตำลึงเดียว” หลินไห่เอ่ยยืนยัน

“ท่านพ่อ มากเพียงไหนขอรับ” จางอี้หมิงชะโงกหน้ามองตัวเลขในตั๋วเงิน แล้วก็ถึงกับตาโตไปอีกคน

“ท่านปู่ นี่มิใช่ว่ามันมากเกินไปหรือขอรับ ท่านปู่ใส่จำนวนเงินผิดหรือไม่” จางอี้หมิงเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ

นี่มันมากเกินไปแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย...

“มิผิด สี่สิบเจ็ดตำลึงทอง จำนวนเงินถูกต้องแล้ว ยอดตำลึงที่เหลือปู่จะยกไปเดือนหน้า” หลินไห่ยืนยันอีกครั้ง

จางอี้เทากับจางอี้หมิงหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย บ้านจางรวยแล้ว เงินจำนวนนี้ใช้ระมัดระวังหน่อยก็สามารถใช้ได้ไปตลอดชีวิต แต่ท่านปู่หลินบอกว่าเป็นเพียงรายได้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เช่นนี้แล้ว มิใช่เขาเป็นเศรษฐีไปแล้วหรอกหรือ

นี่ยังไม่รวมกับเงินที่จะได้มาจากส่วนแบ่งการขายน้ำตาลผักและเกลือผักอีกด้วย

ไอ้นนท์อดอยากมาตลอดชีวิตยี่สิบห้าปี มาเกิดใหม่ทั้งทีก็ยังอดอยาก ต่อไปนี้แหละ ไอ้นนท์ขอช้อปให้หนำใจ เอาให้คุ้มกับเวลาที่เสียไปเพราะความแร้นแค้นและยากจนไปเลย

เมื่อทุกอย่างลงตัว จางอี้หมิงและจางอี้เทาจึงขอตัวกลับเพื่อไปสมทบกับภรรยาและมารดาที่เดินตลาดรออยู่ก่อนแล้ว ระหว่างทางที่เดินออกไปจากเหลาซิ่งฝู สองพ่อลูกสกุลจางต่างก็ชื่นชมกับจำนวนเงินที่อยู่ในตั๋ว โดยไม่ได้เฉลียวใจถึงสายตาสองคู่ซึ่งกำลังมองดูพวกเขาอย่างอาฆาตแค้น

สายตานั้นจับจ้องไปยังสองร่างอย่างไม่สบอารมณ์ เฝ้ามองจนทั้งคู่ลับสายตาไปแล้วก็หันมามองหน้ากัน รอยยิ้มมาดร้ายถูกส่งออกมาจากริมฝีปาก

พวกเขาคิดจะทำอะไรกับสองพ่อลูกคู่นี้กันนะ...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ