ตอนที่ 43 อาหารอันใดช่างหอมเช่นนี้

รถม้าของเถ้าแก่หวังวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านสกุลจางในเวลาเช้าตรู่ไม่ขาดไม่เกินจากเวลาที่นัดหมาย วันนี้สามคนพ่อแม่ลูกสกุลจางจะเข้าเมืองไห่ถังไปด้วยกัน จางอี้หมิงเล่าเหตุการณ์เมื่อวานตอนบ่ายให้บิดาฟังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจางอี้เทาก็เข้าใจดี

อี้หมิงยังได้เตรียมทั้งน้ำตาลผัก เกลือผัก และน้ำมันให้ท่านพ่อใส่ในตะกร้าไม้ไผ่แบกขึ้นหลังมาด้วย เด็กชายให้พี่อาคุนแวะที่เหลาซิ่งฝูเพื่อไปขอยืมตัวท่านลุงอู๋เจ๋อไปช่วยทำอาหารให้หนิงอ๋อง โดยเด็กน้อยให้เหตุผลกับท่านปู่ว่า การที่ท่านลุงอู๋ได้ทำอาหารถวายให้กับหนิงอ๋องจะทำให้ชื่อเสียงของเหลาซิ่งฝูโด่งดังยิ่งขึ้น หากว่าเป็นที่พอพระทัยของหนิงอ๋องแล้วนั้น โอกาสที่หนิงอ๋องจะสนับสนุนเหลาซิ่งฝูจึงมีมากตามไปด้วย อีกอย่าง ให้หัวหน้าพ่อครัวได้เรียนรู้ไว้ จะได้นำมาทำเป็นรายการอาหารชนิดใหม่ในเดือนถัดไป

ส่วนเหตุผลสำคัญที่จางอี้หมิงไม่ได้บอกออกไปคือ เขารู้สึกคุ้นเคยกับท่านลุงอู๋มากกว่าคนครัวของหนิงอ๋อง ถ้าเกิดว่าเขาพูดไม่เข้าหู หัวของเขาอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าอีกต่อไปก็เป็นได้ พ่อครัวที่ไหนก็หยิ่งยโสทั้งนั้น โดยเฉพาะเหล่าพ่อครัวหลวงที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ดังนั้นการทำงานร่วมกับท่านลุงอู๋เจ๋อจึงเป็นทางออกและคำตอบที่ดีที่สุด

“ท่านลุงตื่นเต้นหรือไม่ขอรับ วันนี้ท่านลุงจะได้ทำอาหารชนิดใหม่อีกแล้วนะขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยเย้าหัวหน้าพ่อครัวอย่างอารมณ์ดี เขารู้ว่าท่านลุงอู๋หลงใหลการทำอาหารเป็นที่สุด

“ลุงตื่นเต้นนิดหน่อย เกรงว่าจะทำอันใดให้เป็นที่ระคายพระทัยหนิงอ๋องน่ะสิ” อู๋เจ๋อกล่าวด้วยความวิตกกังวล แม้ปากจะบอกว่าเล็กน้อยแต่ก็มีเหงื่อผุดพรายบนใบหน้า

“ท่านลุงอู๋อย่าได้เป็นกังวลเลยขอรับ ท่านลุงเพียงแต่ทำอาหารในห้องครัว คงมิได้ออกมาพบกับหนิงอ๋อง แต่ข้านี่สิคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นท่านลุงอู๋ต้องทำอาหารให้สุดฝีมือนะขอรับ บางทีท่านลุงอาจจะได้รางวัลหากเป็นที่ถูกพระทัยท่านอ๋องก็เป็นได้” เด็กน้อยเอ่ยปลอบใจและให้กำลังใจไปในคราวเดียวกัน

“ท่านลุงให้คนเตรียมวัตถุดิบตามรายการนี้ด้วยนะขอรับ ได้แก่...” จางอี้หมิงบอกให้หัวหน้าพ่อครัวจัดเตรียมวัตถุดิบจากเหลาซิ่งฝูไปตามที่เขาจะต้องใช้ ที่สำคัญคือไม่ลืมให้ท่านลุงเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำอาหารในครั้งนี้ด้วย

“หมิงหมิงน้อย เหตุใดต้องเอามีด หม้อ กระทะขนาดต่าง ๆ เหล่านี้ไปด้วย ที่จวนท่านอ๋องไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้เช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ท่านลุง รู้จักการป้องกันไว้ดีกว่าแก้หรือไม่ขอรับ ข้าไม่รู้ว่าที่จวนหนิงอ๋องจะมีสิ่งเหล่านี้หรือไม่ พวกเราไม่ได้แบกหามไปเสียหน่อย หากไม่ได้ใช้ก็เพียงนำกลับมาเท่านั้น แต่หากว่าพวกเราไม่เตรียมไป แต่จำเป็นต้องใช้ ต้องเสียเวลากลับมาเอาที่เหลาอีก เวลาก็เหลือไม่มากในการทำอาหาร หากทำให้ท่านอ๋องเสวยพระกระยาหารช้าแล้วพระองค์ไม่พอพระทัย เหลาซิ่งฝูคงรับไม่ไหว เช่นนั้นสู้เตรียมไว้ตั้งแต่แรกดีที่สุดขอรับ” 

จางอี้หมิงต้องป้องกันไว้ก่อนเพราะเขาไม่รู้จักนิสัยใจคอของท่านอ๋องผู้นี้ อะไรก็ตามให้ผิดพลาดน้อยที่สุดจะดีกว่า

“ท่านลุงให้พี่ชายหมินไปเป็นผู้ช่วยท่านลุงด้วยนะขอรับ” จางอี้ หมิงเอ่ยสำทับอีกครั้ง

เมื่อทุกอย่างลงตัว จางอี้หมิงจึงนั่งรถม้าต่อไปที่ร้านเถ้าแก่หวังเพื่อไปหาวัตถุดิบในการจัดทำหัวเชื้อน้ำตาล และจะกลับมารับอู๋เจ๋อและอู๋หมินในยามซื่อ (09.00 – 10.59) เพื่อเดินทางต่อไปยังจวนที่พักของหนิงอ๋อง

“หมิงเอ๋อร์ พ่อจะพาท่านแม่ของเจ้าไปพบเถ้าแก่เนี้ยร้านขายผ้า เจ้าอยู่พูดคุยกับเถ้าแก่หวังที่นี่เถิด พ่อกับแม่จะกลับมาให้ทันเวลาที่เจ้าจะไปรับท่านอู๋ที่เหลาซิ่งฝู เจ้าอยู่คนเดียวได้หรือไม่” จางอี้เทาแจ้งกำหนดการของตนเองและหลี่อ้าย พลางเอ่ยถามบุตรชายไปด้วย

เขาคิดดูแล้วว่าหากไปด้วยกันคงไม่ทันการณ์ หลี่อ้ายเองก็เพิ่งเข้ามาในเมืองครั้งแรก จะปล่อยให้ไปคนเดียวคงหลงทางเป็นแน่ จางอี้ หมิงเองก็พอจะเอาตัวรอดได้ด้วยความเฉลียวฉลาด อีกทั้งเถ้าแก่หวังก็เอ็นดูบุตรชายไม่น้อย เขาจึงตัดสินใจเช่นนี้

“ท่านพ่อ ข้าอยู่ได้ เชิญท่านพ่อกับท่านแม่ตามสบายขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาแล้วจึงแยกตัวเดินเข้าไปที่ร้านเถ้าแก่หวัง ส่วนสองสามีภรรยาก็แยกไปร้านผ้าตามที่ได้บอกบุตรชายไว้เช่นกัน

“คารวะเถ้าแก่หวังขอรับ” จางอี้หมิงยกมือคารวะชายชราที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินใกล้กับประตูทางเข้าร้านขายของ

“ไม่ต้องมากพิธีหมิงหมิงน้อย เห็นอาคุนบอกว่าเจ้าต้องการหาวัตถุดิบในการทำหัวเชื้อน้ำตาลผักเช่นนั้นหรือ มีอันใดที่ข้าพอช่วยเจ้าได้หรือไม่” เถ้าแก่เจ้าของร้านเอ่ยทักทายเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและเสนอตัวช่วยเหลือด้วยความยินดี

“ขอบคุณเถ้าแก่ แต่ว่าข้าขอเดินดูก่อนนะขอรับ”

จางอี้หมิงยิ้มรับและเริ่มเดินสำรวจรายการสินค้าที่ขายภายในร้านของเถ้าแก่หวังไปทุกส่วน เมื่อสำรวจจนทั่วแล้วก็ต้องทึ่งกับรายการของในร้าน มันมีทั้งแบบที่เขารู้จักและไม่รู้จัก ด้วยความเป็นคนที่ทำอาหารมาก่อนและในภพนี้ ศาสตร์การทำอาหารยังไม่แพร่หลายมากนัก เมื่อเห็นวัตถุดิบอันใดน่าสนใจ รายการอาหารก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที

จางอี้หมิงตื่นตาตื่นใจกับสมุนไพรและเครื่องเทศต่าง ๆ ที่วางเรียงกัน พวกมันมีชื่อติดไว้ด้วย บางอย่างก็อ่านเข้าใจ บางอย่างก็ไม่เข้าใจ โชคดีที่ร่างนี้มีบิดาเป็นบัณฑิต เขาจึงได้ร่ำเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เด็ก

“โอ้ เจอแล้ว เจ้าดอกเก็กฮวยสีเหลืองอยู่นี่เอง” สิ่งที่จางอี้หมิงกำลังมองหาอยู่คือดอกเก็กฮวยแห้งเพื่อนำมาใช้ทำหัวเชื้อน้ำตาลผัก

ดอกเก็กฮวยมีกลิ่นหอมและสีสันสวยงาม ในเมื่อหันมาใช้หญ้าหวานใบสดในการทำหัวเชื้อ จางอี้หมิงจึงคิดเอาสีเหลืองของดอกเก็กฮวยไปทำให้สีเขียวและกลิ่นของหญ้าหวานลดลง

“เถ้าแก่ ข้าต้องการดอกเก็กฮวยแห้งเป็นจำนวนมากในการทำน้ำตาลผัก ขอเถ้าแก่เตรียมไว้ให้พร้อมด้วยในวันที่ไปรับน้ำตาลผักทุก ๆ เจ็ดวัน ท่านต้องเอาดอกเก็กฮวยไปส่งให้ข้าที่เรือน สำหรับค่าใช้จ่ายท่านสามารถหักเอาไว้ได้เลยขอรับ”

“แล้วเจ้าต้องใช้ดอกเก็กฮวยแห้งมากเพียงไหนเล่าหมิง หมิงน้อย”

“หนึ่งพันจินขอรับ สำหรับน้ำตาลผักหนึ่งแสนไห”

“โอ้ มากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ได้ ๆ ข้าจะได้จัดเตรียมไว้ให้” เถ้าแก่หวังอุทานออกมาแต่ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“นายช่างเหอจะเริ่มสร้างบ้านในอีกสี่วันข้างหน้า ระหว่างนี้เถ้าแก่สามารถนำไหไปส่งไว้ที่หัวหน้าหมู่บ้านได้เลยขอรับ อีกสิบวันนับจากวันนี้ เถ้าแก่สามารถไปรับน้ำตาลผักรอบแรกได้เลย และหลังจากนั้นสามารถไปรับได้ทุกสามวันเช่นที่ผ่านมาขอรับ”

“ได้ ตกลงตามนี้”

“เถ้าแก่ ท่านสามารถจัดหาเมล็ดข้าวสาลีจำนวนมากได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามต่อ

เมื่อครู่นี้เขาเดินผ่านมาเห็นว่ามีข้าวสาลีอยู่ แต่นั่นไม่เพียงพอกับความต้องการของเด็กน้อย

“เจ้าต้องการเมล็ดข้าวสาลีจำนวนมากไปทำไมหรือหมิง หมิงน้อย”

“ข้าอยากทำสินค้าตัวใหม่ออกมาขายน่ะขอรับ แต่มันต้องใช้เมล็ดข้าวสาลีจำนวนมาก”

“โอ้ สินค้าตัวใหม่เช่นนั้นหรือ น่าสนใจยิ่งนัก ต่อให้หายากแค่ไหนข้าก็จะหามาให้เจ้าให้จงได้ แต่ว่าเจ้าต้องการเร่งด่วนหรือไม่”

“ไม่ขอรับ ข้าจะทำหลังจากส่งน้ำตาลผักให้ท่านอ๋องเสร็จสิ้นแล้วขอรับ” 

จางอี้หมิงได้คำตอบที่ต้องการแล้วจึงเดินสำรวจไปทั่วร้านขายของและจดจำไว้ว่ามีวัตถุดิบหรือสินค้าตัวไหนบ้าง เมื่อถึงเวลากำหนดที่จางอี้เทาและหลี่อ้ายกลับมาที่ร้านเถ้าแก่หวัง เด็กน้อยจึงค่อยเลิกการมองหาวัตถุดิบเพิ่ม

 เมื่อสองสามีภรรยามาถึง ทุกคนจึงเดินทางไปที่เหลาอาหารซิ่งฝูเพื่อรับอู๋เจ๋อกับอู๋หมินต่อ เหลาอาหารซิ่งฝูมีรถม้าไปส่งสองพ่อครัวถึงที่หมายเพราะมีวัตถุดิบและอุปกรณ์ในการทำอาหารไปด้วยมากมาย และจะได้ไม่นั่งเบียดกันในรถม้าของเถ้าแก่หวัง

 

 จวนที่พำนักของหนิงอ๋องอยู่ตรงบริเวณชานเมืองติดกับกำแพงเมืองและห่างจากตัวเมืองไปอีกเล็กน้อย เนื่องจากมีกองกำลังทหารจำนวนถึงห้าร้อยนายคุ้มครองเงินทองและอาหาร จึงทำให้ไม่สามารถซื้อจวนในตัวเมืองได้ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่

รถม้าสองคันแล่นจากตัวเมืองมุ่งสู่จวนอ๋อง จางอี้หมิงดูตื่นเต้นกว่าใคร เด็กน้อยนั่งไม่เป็นสุข เขาขยับตัวขยุกขยิกตลอดเวลาจนจางอี้เทาทนไม่ไหวต้องอุ้มบุตรชายขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดเอาไว้

“หมิงเอ๋อร์ อย่าได้เป็นกังวล เจ้ามิได้ไปพบท่านอ๋องคนเดียว อย่าลืมว่าเจ้ายังมีบิดาและมารดามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นใคร พ่อจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันใดเจ้าได้ หายใจเข้าลึก ๆ ไม่ต้องประหม่า คิดเสียว่าท่านอ๋องคือท่านอา ท่านลุง ท่านปู่คนหนึ่งดีหรือไม่”

จางอี้เทาลูบแขนให้กำลังใจและเอ่ยปลอบบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ท่านพ่อ ข้ากลัวขอรับ” จางอี้หมิงซุกใบหน้าเข้าหาอกอุ่นของบิดา เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อยเลยในอ้อมแขน

 นี่สินะคือความรักของบิดามารดา อ้อมกอดที่เขาโหยหามาตลอดชีวิตของอานนท์ มันอบอุ่นและให้ความรู้สึกปลอดภัยเช่นนี้นี่เอง

“หมิงหมิงน้อย ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าด้วยอีกคน ไม่ต้องกลัวหรอก ท่านอ๋องใจดีมาก ท่านไม่ได้ดุร้ายอันใด” เถ้าแก่หวังเอ่ยปลอบใจเด็กน้อยอีกคน เขาไม่แปลกใจเลย เด็กชายตรงหน้าต่อให้เฉลียวฉลาดแค่ไหนก็เป็นเด็กอายุเพียงห้าขวบปีเท่านั้น

เมื่อรถม้าสองคันมาถึงหน้าประตูจวนอ๋อง อาคุนจึงลงไปบอกกล่าวทหารที่ยืนรักษาการณ์อยู่ ไม่นานก็มีชายชราซึ่งคาดว่าจะเป็นพ่อบ้านของจวนอ๋องออกมาต้อนรับและให้ทุกคนเดินตามไปที่ห้องครัว

เนื่องจากตอนนี้ท่านอ๋องยังติดธุระจึงมีคำสั่งให้บ้านสกุลจางทำอาหารให้พร้อมนำขึ้นโต๊ะเสวยในยามอู่ (11.00 – 12.59) หลังจากที่เสวยเสร็จแล้วจึงจะให้คณะของเถ้าแก่หวังเข้าพบต่อไป

ด้วยข้อจำกัดมากมายทำให้เถ้าแก่หวัง จางอี้เทาและหลี่อ้ายนั่งรออยู่ที่ห้องรับรอง ไม่ได้เข้าไปที่ห้องครัวเช่นเดียวกับอู๋เจ๋อ อู่หมินและจางอี้หมิง หลี่อ้ายจึงให้กำลังใจบุตรชายแล้วมองเด็กน้อยเดินเข้าไปในครัวโดยมีจางอี้เทากุมมืออยู่ข้างๆ

“ตี้ปิน นี่คืออู๋เจ๋อ อู๋หมินและจางอี้หมิง ผู้ที่จะมาทำอาหารให้ท่านอ๋องได้เสวยในกลางวันนี้ ขอให้เจ้าอำนวยความสะดวกให้กับพวกเขาด้วย พวกท่านทั้งหลาย นี่คือตี้ปิน หัวหน้าพ่อครัวประจำจวนอ๋อง หากพวกท่านต้องการสิ่งใด ตี้ปินพร้อมช่วยเหลือ อย่าลืมเวลาที่ต้องนำอาหารขึ้นโต๊ะเสวยเล่า” 

พ่อบ้านจวนเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกันก่อนที่จะเอ่ยกำชับถึงเวลาตั้งโต๊ะเสวยอีกครั้งแล้วเดินจากไป

“คารวะท่านตี้ปิน พวกข้าขอรบกวนด้วยนะขอรับ” อู๋เจ๋อเป็นตัวแทนเหลาซิ่งฝูเอ่ยทักทายหัวหน้าพ่อครัวตี้ปิน ผู้ซึ่งมีร่างกายสูงแต่ไม่หนาดังเช่นพ่อครัวทั่วไป

ถึงแม้จะเป็นพ่อครัวแต่ก็หาได้มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ไม่ ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ ตี้ปินผู้นี้มีรูปร่างบอบบางคล้ายอิสตรี สีผิวขาวกว่าชาวแคว้นฉินอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเพราะเป็นคนเมืองหนาว 

“ไม่ต้องมากพิธี” 

หืม หน้าตาและเสียงพูดดัดให้แหลมคล้ายอิสตรีเช่นนี้ ชัดเลย สงสัยร่างกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงแน่นอน

 จางอี้หมิงคิดในใจเมื่อเห็นท่าทางของพ่อครัวจวนอ๋อง เด็กน้อยไม่ได้กล่าวอันใด เขายิ้มให้บาง ๆ และหันไปสนใจเรื่องการทำอาหารต่อ 

“พวกเจ้ามีรายการอาหารที่จะนำขึ้นตั้งโต๊ะเสวยแล้วหรือไม่” ตี้ปินเอ่ยถามขึ้น

“เรียนท่านตี้ ข้าได้รับคำสั่งให้ทำเพียงหนึ่งรายการเท่านั้น ขอท่านตี้ปรุงอาหารดังเช่นปกติ แต่ให้ตัดออกหนึ่งรายการสำหรับอาหารของเหลาซิ่งฝูขอรับ” 

จางอี้หมิงเอ่ยตอบ ส่งผลให้ตี้ปินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดเด็กน้อยเช่นนี้จึงสามารถเข้ามาที่ห้องครัวซึ่งเป็นสถานที่หรืออาณาจักรการทำงานของเขาได้

“เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาป้วนเปี้ยนในห้องครัวเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นพ่อครัวอีกคนของเหลาซิ่งฝู” 

“เรียนท่านตี้ ข้าอู๋เจ๋อ เป็นพ่อครัวในการทำอาหารในวันนี้ขอรับ ส่วนนี่อู๋หมิน เป็นผู้ช่วย และเด็กน้อยที่ท่านตี้เอ่ยถาม ชื่อว่าจางอี้หมิง ข้าน้อยเรียกว่าหมิงหมิงน้อย เป็นคนคอยกำกับการทำอาหารสำหรับตั้งโต๊ะเสวยในวันนี้ขอรับ” อู๋เจ๋อเอ่ยตอบคำถามหัวหน้าพ่อครัวจวนอ๋องด้วยความฉะฉาน

“เจ้าว่าอันใดนะ เด็กน้อยเพียงเท่านี้แต่ถึงกับรู้วิธีการทำอาหารเช่นนั้นหรือ บังอาจเกินไปแล้ว เจ้ามิรู้หรือว่าอาหารที่ทำขึ้นตั้งโต๊ะเสวยของท่านอ๋องต้องได้รับการปรุงจากพ่อครัวอันดับหนึ่งที่มีฝีมือและมากประสบการณ์เท่านั้น แต่นี่เหลาซิ่งฝูถึงกับให้เด็กน้อยปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกล้านำอาหารขึ้นโต๊ะ” ตี้ปินตวาดออกมาเสียงดัง เขารู้สึกเหมือนกับถูกหลู่เกียรติของการเป็นพ่อครัวตำหนักอ๋องยิ่งนัก

ทำงานมาหลายปี กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อครัวมากมายต่างก็ฝึกฝนฝีมือมาอย่างยาวนาน แต่นี่เหลาอาหารซิ่งฝูกลับให้เด็กตัวเล็ก ๆ มากำกับเช่นนั้นหรือ

“ขอท่านตี้อย่าเพิ่งโมโห นี่เป็นรับสั่งของท่านอ๋องขอรับ และท่านหัวหน้าพ่อบ้านก็แจ้งให้ท่านตี้ทราบตั้งแต่แรกแล้ว ขอท่านตี้ให้ความร่วมมือด้วยขอรับ” อู๋เจ๋อยังสนทนาด้วยความอดทนและใจเย็นที่เหลาอาหารซิ่งฝูโดนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้

“ได้ ข้าจะคอยดูว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าจะทำรายการอาหารอันใดออกมา” ตี้ปินกล่าวเสียงแข็งแล้วจึงหันไปทำอาหารในส่วนที่เหลือของตน แต่ก็ไม่ลืมเรียกคนครัวซึ่งเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งให้มาคอยช่วยคนของเหลาซิ่งฝูในการทำอาหารในครั้งนี้

“ขอบคุณท่านตี้ ขอบใจน้องชาย” อู๋เจ๋อกลาวขอบคุณตี้ปินอีกครั้งที่ไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเขา และเอ่ยขอบใจคนงานในครัวของจวนอ๋อง ที่มารู้ทีหลังว่าชื่อหยู๋หยาง ซึ่งคนจากเหลาซิ่งฝูพร้อมใจกันเรียกชายหนุ่มว่า อาหยาง

“หมิงหมิงน้อย พวกเราจะทำรายการอาหารอันใดเล่า” อู๋เจ๋อเอ่ยถามขึ้น

“ข้าจะทำเนื้อย่างสมุนไพรขอรับ กินกับข้าว ผักและมันบด” 

“เจ้าว่าอันใดนะ อาหารมื้อพิเศษเจ้าทำเพียงแค่เนื้อย่าง มันไม่ธรรมดาเกินไปเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋ออุทานออกมาอย่างตกใจ เขาก็นึกว่าเด็กน้อยจะมีรายการอาหารที่เขาไม่เคยได้ทำมาก่อนเสียอีก คำตอบของเด็กชายถึงกับทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

“ท่านลุงอู๋ ท่านคิดว่าเนื้อย่างของข้าจะธรรมดาเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงถึงกับยิ้มและยกคิ้วให้กับหัวหน้าพ่อครัวซิ่งฝูไปหนึ่งที

อู๋เจ๋อหัวเราะเบาๆกับท่าทางเช่นนั้น เขาลืมคิดไปได้อย่างไรว่าขนาดพะโล้ธรรมดา เด็กคนนี้ยังรังสรรค์ออกมาเป็นอาหารเลิศรสอย่างนิลเง็กเซียนได้

“เช่นนั้นก็มาเริ่มทำกันเถอะ ข้าต้องทำอันใดบ้างหมิงหมิงน้อย” อู๋เจ๋อเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น 

“พี่อาหยางขอรับ ข้าอยากได้เนื้อสองส่วน ชิ้นแรกขอเป็นเนื้อสันในที่ไม่มีมันติด และเนื้อสันติดมันขอรับ และเครื่องเทศได้แก่...” จางอี้ หมิงหันไปบอกสิ่งที่ต้องการให้คนครัวของจวนอ๋องได้ฟังจนครบ รอไม่นานวัตถุดิบที่ต้องการจึงวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ผัก หรือเครื่องเทศ 

สมกับเป็นจวนอ๋อง วัตถุดิบช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

วันนี้จางอี้หมิงจะทำเนื้อสเต็กกินกับผักต้ม มันบดและมีข้าวสวยด้วย ด้วยไม่มีเนยและนมแพะ ก็อาจจะทำให้คาวและมีกลิ่นแรงเกินกว่าจะเอามาใส่ลงไปในอาหารได้ เขาจึงต้องประยุกต์มันบดตามสิ่งที่มีแทน

“พี่อาหยาง รบกวนท่านตั้งหม้อน้ำให้เดือดด้วยขอรับ พี่ชาย หมิน ท่านนำมันฝรั่งไปปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เอาไปต้มให้เนื้อเละเลยนะขอรับ เสร็จแล้วทำดอกไม้สำหรับจัดจานไว้ด้วย พี่ชายหมิน คนที่นี่เรียกแครอทว่าอันใดนะขอรับ” จางอี้หมิงเริ่มแจกแจกงานให้ผู้ช่วยทั้งสองทำ แต่เพราะลืมคำเรียกของแครอท จึงสะกิดถามอู๋หมินด้วย

“หูหลัวโป” อู๋หมินก้มหน้ามากระซิบบอก

“ใช่แล้ว พี่อาหยางต้มน้ำเสร็จแล้วรบกวนเอาหูหลัวโปปอกเปลือกหั่นเป็นแท่งตามยาว นำไปลวกน้ำร้อนด้วยนะขอรับ ไม่ต้องลวกนานเพราะข้าต้องการความกรอบ ลวกน้ำร้อนเสร็จแล้วเอาไปแช่ในน้ำเย็นนะขอรับ ส่วนท่านลุงอู๋ มาหมักเนื้อกับข้าขอรับ” จางอี้หมิงแจกแจงงานทั้งหมดต่อให้กับทุกคน

“หมิงหมิงน้อย เหตุใดต้องใช้เนื้อส่วนที่แตกต่างกันเช่นนี้เล่า หรือจะเหมือนนิลเง็กเซียนเช่นนั้นหรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถามในฐานะที่เป็นพ่อครัว การทำอาหารด้วยเนื้อสองส่วนที่แตกต่างกันทำให้เขาสงสัย และนึกขึ้นได้ว่าอาจจะมีข้อสันนิษฐานเช่นเดียวกับพะโล้ก็เป็นได้

“ท่านลุงอู๋เข้าใจถูกต้องแล้วขอรับ นำเนื้อวางลงไปบนชามไม้ ใส่เกลือ น้ำมัน พริกไทยนิดหน่อย อย่าลืมทุบเนื้อและนวดเล็กน้อยให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันแล้วพักไว้ก่อน จะทำให้เนื้อนุ่มขอรับ”

ในระหว่างที่รอหมักเนื้อ อู๋หมินก็ทำดอกไม้ตกแต่งจานผักรอไปด้วย เมื่อมันฝรั่งสุกแล้ว จางอี้หมิงจึงให้อู๋หมินทำมันบดต่อทันที ซึ่งนั่นก็คือเพียงบดมันให้ละเอียดเท่านั้น อู๋หมินจึงบดมันฝรั่งด้วยสาก

“ท่านลุงอู๋ เราต้องทำน้ำสำหรับราดเนื้อย่างด้วยขอรับ”

“โอ้ ข้าเชื่อแล้วว่าเนื้อย่างสูตรบ้านสกุลจางไม่ธรรมดาจริง ๆ เพียงวิธีการเตรียมการหมักก็แตกต่างแล้ว บอกลุงคนนี้มาได้เลย ข้าพร้อมที่จะทำแล้ว” อู๋เจ๋ออุทานออกมาเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความชื่นชม

“ท่านลุงนำหม้อเปล่ามาแล้วใส่หอมหัวใหญ่ กระเทียม โป๊ยก๊ก อบเชย ใบกระวาน พริกไทย น้ำตาลผัก และเกลือ นำไปต้มให้เดือด เสร็จแล้วกรองเอากากออกให้เหลือแต่น้ำราด นำไปตั้งไฟอีกครั้ง พอน้ำราดเดือด เติมแป้งมันลงไปพอให้น้ำราดข้นเล็กน้อยขอรับ” จางอี้หมิง อธิบายขั้นตอนการทำน้ำราดเนื้อย่างโดยละเอียด เขาเล่าสองรอบเพื่อความมั่นใจว่าอู๋เจ๋อจะได้ยินไม่ผิด

ในส่วนของตี้ปิ้น เขาก็ทำอาหารใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน จึงได้มายืนดูเหลาซิ่งฝูทำอาหารและเอ่ยเยาะเย้ย

“เหลาซิ่งฝูถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก ทำเนื้อย่างขึ้นโต๊ะเสวยเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านอ๋องทรงเบื่ออาหารจานเนื้อย่างนี้เป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าเหลาไหน ๆ ก็คิดว่าท่านอ๋องต้องชอบทานอาหารจานเนื้อกันทั้งนั้น” ตี้ปินหัวเราะเสียงสูงพลางใช้สายตามองมายังเหลาซิ่งฝูอย่างดูแคลน

“เร่งมือเข้า อีกไม่ถึงสองเค่อต้องนำอาหารขึ้นโต๊ะเสวยแล้ว เหลาซิ่งฝู พวกเจ้าทำอาหารเสร็จแล้วหรือยัง” หัวหน้าพ่อบ้านคนเดิมเดินเข้ามาในห้องครัวพลางเอ่ยเร่งและแจ้งกำหนดการตั้งโต๊ะเสวย

“ข้าใกล้เสร็จแล้วขอรับ รับรองว่าทันเวลาตั้งโต๊ะเสวยแน่นอนท่านพ่อบ้าน” ตี้ปินตอบด้วยท่าทีลำพอง

“เหลาซิ่งฝูก็ทันเวลาขอรับ” จางอี้หมิงเป็นคนตอบคำถามเมื่อเห็นว่าท่านลุงยุ่งกับการทำน้ำราดอยู่

“เช่นนั้นก็ดี” หัวหน้าพ่อบ้านจวนอ๋องเอ่ยเสร็จแล้วจึงเดินออกไปจากห้องครัวอีกครั้ง ปล่อยให้เหล่าพ่อครัวทำอาหารกันต่อไป

“หมิงหมิงน้อยอาหารจะเสร็จทันแน่หรือ” อู๋เจ๋อเอ่ยถามด้วยความกังวล

“ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วง เสร็จทันแน่นอนขอรับ พวกเรามาทำเนื้อย่างกันต่อเถอะ” จางอี้หมิงเอ่ยปลอบใจอู๋เจ๋อด้วยน้ำเสียงมั่นใจ เขาเห็นว่าน้ำราดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงต้องทันอย่างแน่นอน

“ท่านลุง เอากระทะตั้งไฟให้ร้อนมาก ๆ เลยนะขอรับ ใส่น้ำมันลงไปนิดหน่อย ถ้าเห็นเริ่มมีควันออกก็ให้วางเนื้อลงไปแต่อย่าเพิ่งพลิกกลับนะขอรับ รอให้เนื้อสุกสักครึ่งหนึ่งก่อนแล้วถึงจะพลิกอีกด้าน ส่วนพี่ชายหมิน ท่านตั้งกระทะใส่น้ำมัน สับกระเทียมลงไปเจียวให้หอม อย่าให้กระเทียมเจียวไหม้นะขอรับ พอมีสีเหลืองก็ให้นำลงไปคลุกลงในมันฝรั่งต้มที่บดไว้ เติมเกลือ พริกไทย น้ำตาลผักนิดเดียวเท่านั้นนะขอรับ ให้มีรสชาติเค็มและหวานขอรับ ท่านลุง พี่ชายหมิน เข้าใจที่ข้าบอกหรือไม่” จางอี้หมิงอธิบายวิธีการทำเนื้อย่างและมันบดให้ทั้งสองคนฟัง 

อู๋เจ๋อและอู๋หมินต่างพยักหน้ารับ พวกเขารีบไปจัดการตามที่เจ้านายตัวน้อยบอก จางอี้หมิงเดินไปดูพี่อาหยางลวกแครอทเพราะไม่มั่นใจว่าคนครัวของจวนอ๋องจะทำได้ตามที่บอกหรือไม่ ซึ่งแตกต่างจากอู๋เจ๋อและอู๋หมินที่รู้ฝีมือกันดีอยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าพี่อาหยางทำได้ตามที่บอก เด็กน้อยจึงเดินไปที่พี่ชายหมิน เงยหน้าดูก็เห็นว่าตอนนี้กระเทียมเจียวกำลังส่งกลิ่นหอม สีเหลืองกำลังสวย เมื่อยกลงมาจากเตาและพักให้หายร้อนนิดหน่อย อู๋ หมินจึงนำมาคลุกกับมัดบดและเติมสิ่งต่าง ๆ ตามที่อี้หมิงบอก เพียงไม่นาน เขาก็ตักมันฝรั่งบดวางไว้บนถาดที่ได้ทำดอกไม้ไว้รออยู่แล้ว

“ท่านลุงอู๋ พลิกกลับส่วนที่มีมันก่อนเลยขอรับเพราะสุกไวกว่าเนื้อชิ้นที่ไม่มี...” คำว่า มัน ยังไม่ทันได้เอ่ยออกจากปากของเด็กน้อย เสียงดังที่เอ่ยถามขึ้นมาถึงกับทำให้จางอี้หมิงสะดุ้ง หันหลังไปมองทางบานประตู

“กลิ่นอาหารอันใดถึงได้หอมออกไปถึงห้องทำงาน จนทำให้ข้าเสียสมาธิทนทำงานต่อไปไม่ไหว ต้องเดินตามกลิ่นมาถึงที่นี่”

จางอี้หมิงเห็นชายคนหนึ่งอายุประมาณไม่เกินสามสิบปี ท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าประกอบด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีขาวสลับดำ มองเพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าคงมีราคาสูงไม่น้อย บนศีรษะสวมกวานสีเงินดูน่าเกรงขาม ชายคนนี้เดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง อายุน่าจะไม่เกินห้าสิบปี ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนจะเดินขากะเผลกนิดหน่อยด้วย

“อาหารสำหรับมื้อกลางวันวันนี้ กระหม่อมทำเสร็จเรียบร้อยพร้อมนำขึ้นโต๊ะเสวยแล้วพะยะค่ะ” ตี้ปินรีบเดินเข้าไปก้มศีรษะเอ่ยตอบทันที

“ตี้ปิน นี่คงมิใช่อาหารฝีมือเจ้าหรอกนะ กลิ่นหอมเช่นนี้ข้าไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนทั้งที่เจ้าเป็นพ่อครัวจวนอ๋องมากี่ปีแล้ว” เหลียงหนิงหลงหรือหนิงอ๋องถึงกับเอ่ยขัดคำตอบของพ่อครัวประจำจวน

“ท่านลุงอู๋ พลิกกลับเนื้อส่วนที่ไม่มีมันเลยขอรับ แล้วพลิกส่วนที่มีมันอีกครั้งก็เสร็จแล้วขอรับ” จางอี้หมิงหาได้สนใจบทสนาของคนจวนอ๋อง เพราะตอนนี้เขากำลังตั้งใจมองความสุกของเนื้อย่างบนเตาอยู่ต่างหาก เขาจะพลาดทำไหม้ไม่ได้

ซี่ ซี่ ซี่

เสียงเนื้อย่างบนเตาที่กำลังสุก ทั้งเสียงทั้งกลิ่นเนื้อย่างและกลิ่นกระเทียมเจียวสำหรับใส่มันบด ส่งผลให้ท่านอ๋องหนุ่มถึงกับท้องไส้ปั่นป่วนทนรอไม่ไหว ต้องตามมาถึงในห้องครัวเช่นนี้

“เด็กน้อย เจ้าเป็นคนทำรายการอาหารนี้เช่นนั้นหรือ” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงด้านหลังท่านอ๋องเอ่ยถามขึ้น

“ขอรับ”

“เอาล่ะ ขอโทษที่มารบกวนพวกเจ้า อีกไม่นานอาหารคงพร้อมใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปรอที่ห้องอาหารก็แล้วกัน พวกเจ้าจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ไปกันเถอะท่านอาจารย์” หนิงอ๋องเอ่ยบอกคนในห้องครัวก่อนที่จะเอ่ยปากชวนชายวัยกลางคนที่ยืนข้างหลังตนเองให้เดินออกไปพร้อมกัน

“หึ หึ”

เมื่อเดินออกมาได้ไม่นาน หนิงอ๋องถึงกับหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอ เด็กน้อยคนนั้นช่างน่าสนใจยิ่งนัก ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าเขาแต่ก็ไม่ร้องไห้ออกมา ยังคงมีสติบอกให้พ่อครัวทำต่อไป ถ้าเขาไม่กลัวว่าจะต้องอดกินอาหารที่มีกลิ่นหอมเช่นนั้นเนื่องจากเนื้อย่างไหม้เสียก่อน เขาก็อยากจะอยู่แกล้งให้สำราญใจอีกนิด 

ไม่เป็นไร อีกไม่นานเขาก็จะได้ชิมอาหารที่มีกลิ่นหอมนั่นแล้ว จะแกล้งหลังจากท้องอิ่มแล้วก็ถือว่ายังไม่สายเกินไป

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ