ทันทีที่เถ้าแก่หลินเดินออกมาจากห้องครัว เหล่าคหบดีที่นั่งรออยู่ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างตั้งใจรอฟังว่าเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หลินไห่แย้มรอยยิ้มกว้าง เขาใช้เสียงดังป่าวประกาศออกไป
“ท่านลูกค้าทั้งหลาย เหลาอาหารซิ่งฝูต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในรายการอาหารชนิดใหม่มากถึงเพียงนี้ ตามที่ข้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว อาหารที่เหลาซิ่งฝูทดลองทำมีปริมาณไม่เพียงพอกับทุกคน ในตอนนี้เหลาซิ่งฝูสามารถให้พวกท่านได้ทดลองชิมเพียงสองจานเท่านั้น แต่เท่าที่ข้านับได้ พวกท่านมีประมาณสิบคน ดังนั้นข้าจึงได้มีความคิดหนึ่ง หวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับความคิดนี้”
คหบดีมากมายยืนนิ่งรอฟัง มีบ้างที่เกือบชักสีหน้าเมื่อรู้ว่าอาหารมีไม่เพียงพอ แต่เถ้าแก่หลินก็รีบกล่าวเสริมต่อ
“ข้าจะเปิดประมูลอาหารสองจานนี้ ใครที่ให้ราคามากที่สุดจึงจะได้อาหารทั้งสองจานนี้ไปลิ้มลอง ค่าอาหารทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ ข้าหลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะนำไปบริจาคและช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน โดยแจ้งแก่พวกชาวบ้านว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นเป็นเช่นใดบ้าง”
“…”
หลังจากที่ประกาศจบแล้ว หลินไห่ได้แต่รอคำตอบอย่างใจเย็น ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ เฉินเจีย คหบดีค้าผ้าจึงเป็นคนแรกที่ออกความเห็น
“ประมูลอาหารเช่นนั้นหรือ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เคยแต่ได้ยินว่ามีการประมูลของมีค่า ข้าเห็นด้วยกับวิธีการนี้ ข้า เฉินเจีย ไม่เคยกังวลเรื่องเงินทอง ฮะ ฮะ ฮะ” ชายร่างอ้วนกล่าวจบแล้วก็ยกพัดขึ้นมาโบกไปมา คล้ายกับเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอันใดกับตนเอง
“ข้าก็เห็นด้วย เช่นนี้ก็ดี ตำลึงที่จ่ายออกไปชาวบ้านคนยากจนได้ประโยชน์ ส่วนข้าได้ชิมของอร่อย ถือว่าสมเหตุสมผล” ฉีหมิงว่าต่อ เขากลัวเสียหน้าให้กับเฉินเจีย คู่แค้นคู่ปรับ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาต้องเป็นคนที่ชนะให้ได้
“สำหรับข้าไม่มีปัญหาอันใด เพียงแต่เถ้าแก่หลินมีราคาเปิดประมูลแล้วหรือไม่” ชายวัยกลางคนแต่งกายดูภูมิฐานผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มลูกค้าเอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าเปิดประมูลอาหารอาหารชนิดใหม่ของเหลาซิ่งฝูที่จานละสิบตำลึง ราคาเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งตำลึง” หลินไห่ตอบเสียงนิ่ง
“ขออภัยที่ข้าขัดจังหวะนะขอรับ ข้าขอถามท่านตาทั้งหลายได้หรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงพอได้ยินราคาอาหารที่เริ่มเปิดประมูลถึงกับหัวใจจะวาย เหตุใดถึงแพงเช่นนี้ พะโล้จานนิดเดียว วัตถุดิบที่เอามาทำอาหารรวมกันแล้วไม่ถึงหนึ่งตำลึงด้วยซ้ำ
“เด็กน้อย เจ้าเป็นใคร พวกข้าไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า ตอนนี้พวกข้าหิวมาก” เป็นเฉินเจียที่ตอบคำถามของอี้หมิง
“เด็กน้อยที่เจ้ากล่าวถึงชื่อจางอี้หมิง เป็นหลานชายคนใหม่ของข้า เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่”
หลินไห่ที่เห็นว่าคนอื่นกำลังคิดจะรังแกหลานชายของตนจึงกางแขนปกป้องอย่างเต็มที่
“มะ ไม่มีปัญหาอันใดเถ้าแก่หลิน เด็กน้อย เจ้าต้องการถามอันใดก็รีบถามมาเถิด” เฉินเจียส่ายหัว รีบถามจางอี้ หมิงเสียงตะกุกตะกัก เขาไม่ได้กลัวเถ้าแก่หลินไห่หรอกนะ แต่ถ้ามีปัญหากับเหลาซิ่งฝูตอนนี้ ในอนาคตเขาต้องหิวตายเป็นแน่
“ขอบคุณท่านปู่ขอรับ ข้าเพียงสงสัยว่าพวกท่านไม่สงสัยถึงหน้าตา ชื่อเรียก หรือรสชาติของอาหารชนิดใหม่ที่ทางเหลาซิ่งฝูคิดขึ้นมาใหม่หรือขอรับ พวกท่านตัดสินว่ามันอร่อยจากการได้กลิ่นเพียงอย่างเดียวเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“เหตุใดถึงดูไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ ถ้าหากว่าอาหารที่ประมูลมาราคาแพงลิ่วแต่รสชาติไม่ถูกปาก คหบดีเหล่านี้จะไม่ก่อจลาจลกันหรอกหรือ”
“ฮะ ฮะ ฮะ เด็กน้อย เจ้าคงไม่รู้สินะว่าแค่เพียงกลิ่นก็ตัดสินรสชาติของอาหารได้แล้ว ข้าเฉินเจีย หลงใหลในอาหารเป็นที่สุด ไม่ว่าที่ไหนที่ผู้คนกล่าวถึงว่าเป็นอาหารรสเลิศ ข้าเดินทางไปชิมถึงที่นั่น คงมีแต่เพียงอาหารของในวังหลวงเพียงเท่านั้นที่ข้ามิเคยได้ลิ้มลอง” คหบดีค้าผ้ากระแอมแล้วพูดต่อ
“ถ้าข้าบอกว่าตนเองเป็นที่สองในเรื่องของอาหาร ในเมืองไห่ถังนี้คงไม่มีใครกล้าบอกว่าตนเองเป็นที่หนึ่ง ข้ามั่นใจว่าอาหารชนิดใหม่ของเหลาซิ่งฝูต้องอร่อยเป็นแน่ และข้าต้องได้เป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลอง” พูดจบเฉินเจียก็ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจในความคิดของตนเอง เขายกยิ้มกริ่มมองมาที่อี้หมิงอย่างทะนงตน เด็กน้อยที่เห็นภาพตรงหน้าได้แต่คิดในใจ
(อ๋อ เป็นคนขี้อวด อยากได้หน้านี่เอง
“เด็กน้อย อีกหนึ่งเหตุผลคือเถ้าแก่หลินเป็นคนดีและซื่อสัตย์ ใคร ๆ ในเมืองนี้ต่างก็รับรู้กันทั้งนั้น ถ้าเป็นอาหารที่เถ้าแก่หลินนำออกมาขาย มันต้องอร่อยมากแน่นอน ดังนั้นลูกค้าจึงไม่มีข้อกังขาใด ๆ” ฉีหมิงได้ทีอธิบายเพิ่มเติม
“เหลาอาหารซิ่งฝูเป็นเหลาอาหารอันดับที่สองเพียงเท่านั้น เหตุใดพวกท่านถึงไม่ไปลองชิมอาหารที่เหลาอันดับหนึ่งเล่าขอรับ” อี้หมิงยังคงไม่คลายสงสัย เขาใช้ความไร้เดียงสาของเด็กถามต่อ
“เด็กน้อย เหลาเฟิงฟู่ทำอาหารได้เลิศรสจริงอันนี้ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ข้า เฉินเจียผู้นี้กินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกครั้ง เจ้าว่าข้าจะทำได้หรือไม่ นานแค่ไหนแล้วที่เหลาเฟิงฟู่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ ให้พวกข้าได้ลองชิมกัน”
“วันนี้ในระหว่างที่ข้ากำลังจะมากินอาหารที่เหลาเฟิงฟู่ ระหว่างทางไปข้าเดินผ่านเหลาอาหารซิ่งฝู ข้าได้กลิ่นอาหารที่ หอมมาก หอมจนข้าอดใจไม่ไหวถึงได้เดินเข้ามาที่เหลาซิ่งฝูแห่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกเพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ จนเถ้าแก่หลินออกมาอธิบายให้พวกข้าฟังว่าเป็นอาหารชนิดใหม่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้ารับรู้ในตอนนี้”
“อ๋อ เป็นเช่นนี้นั่นเอง แล้วพวกท่านก็เป็นเช่นท่านเฉินเจียเหมือนกันหรือขอรับ”
จางอี้หมิงหันหน้าไปถามบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ในใจ พวกเขาทุกคนต่างพากันพยักหน้าถือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี
“ข้าไม่มีสิ่งใดสงสัยแล้วขอรับ เชิญท่านปู่ทำการประมูลต่อได้เลยขอรับ” อี้หมิงหันหน้ากลับมาบอกหลินไห่
“พวกท่านพอใจกับราคาเปิดประมูลหรือไม่ หากคิดว่าราคาแพงไป ดังนั้นขอเชิญสั่งอาหารตามรายการที่ทางเหลาซิ่งฝูมีอยู่แล้วได้เลย” หลินไห่ถามย้ำอีกครั้ง เขาถือว่าจะเริ่มเปิดประมูลนับจากนี้
“เปิดราคาได้ดี ข้าให้สิบสองตำลึง”
เฉินเจียเป็นคนแรกที่เสนอราคา วันนี้เช่นไรเขาต้องได้ชิมอาหารชนิดใหม่ให้จงได้ เพราะเขาเบื่ออาหารมาหลายวันแล้ว หากเงินเพียงไม่กี่ตำลึงจะสามารถซื้อความสุขของเขาได้ เขาก็ยินดีจ่าย
“เฉินเจีย เจ้าจะโอ้อวดเกินไปแล้ว ข้าให้สิบสี่ตำลึง” ฉีหมิงเอ่ยราคาเกทับไปอีก
“เหอะ เจ้าหัวหน้ามือปราบขี้แพ้ เรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานข้าอาจจะแพ้เจ้า แต่เรื่องความรวยเจ้าสู้ข้าไม่ได้แน่ ข้าให้สิบหกตำลึง” เฉินเจียไม่ยอมแพ้เช่นกัน เขาเพิ่มราคาให้อาหารไปอีกสองตำลึง
หลังจากนั้นก็เป็นการสู้ราคากันระหว่างเฉินเจียกับฉีหมิง นอกจากจะแข่งขันกันในเรื่องราคาที่เพิ่มขึ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังถือโอกาสดูถูกและเยาะเย้ยอีกฝ่ายด้วย โดยที่ลูกค้าคนอื่นไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ้าปากเอ่ยราคาขึ้นมา ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ จนราคาอาหารขึ้นมาถึงห้าสิบตำลึง
“ท่านปู่ขอรับ ยุติการประมูลเถอะ พะโล้มีสองจาน ก็ให้พวกเขาทั้งสองคนได้ลองชิม คนอื่นเราให้ชิมสามสหายท่องหล้าแทนก็ได้ขอรับ” จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงกระซิบบอกหลินไห่ให้ยุติการประมูล เขาไม่อยากให้ราคาสูงไปมากกว่านี้ ซึ่งหลินไห่ก็พยักหน้าเข้าใจ
“พวกท่านหยุดก่อนเถิด ในตอนนี้ราคาประมูลอยู่ที่จานละห้าสิบตำลึงโดยที่พวกท่านไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ประมูลอาหารชนิดนี้เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นข้าขอยุติการประมูลเพียงเท่านี้ เฉินเจียและฉีหมิง พวกท่านจะได้เป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่เป็นครั้งแรกของเหลาซิ่งฝู ในราคาจานละห้าสิบตำลึง”
“สำหรับพวกท่านที่แพ้การประมูลนั้น หาใช่ว่าพวกท่านไม่มีเงิน แต่เพราะพวกท่านไม่มีโอกาสเอ่ยประมูลต่างหากเล่า เช่นนั้น ข้าเห็นถึงความพยายามของพวกท่านทั้งหลาย ผู้ที่พลาดอาหารชนิดใหม่ของเหลาซิ่งฝู ข้าจึงมีอาหารปลอบใจพวกท่านเช่นกัน”
“ขอเวลาสองเค่อ พวกท่านจะได้ชิมอาหารชนิดใหม่ของเหลาซิ่งฝูอย่างแน่นอน ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจอาหารของเหล่าซิ่งฝู”
หลินไห่ยกมือคารวะเหล่าลูกค้าตรงหน้า เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจแล้ว หลินไห่จึงจูงมือหลานชายเดินกลับเข้าไปในครัว
“อู๋เจ๋อ ทำสามสหายท่องหล้าแปดจาน นำนิลเง็กเซียนไปอุ่นให้ร้อนอีกหน่อย ภายในเวลาสองเค่อต้องทำอาหารทั้งหมดให้เสร็จ” หลินไห่เมื่อแจกแจงงานทั้งหมดให้กับลูกน้องของตนเองเสร็จสรรพ จึงเดินไปนั่งข้าง ๆ จางอี้เทา ที่ตลอดเวลาเขาเพียงรอคอยบุตรชายอย่างใจเย็น
อู๋เจ๋อในฐานะหัวหน้าพ่อครัวจึงเริ่มลงมือทำสามสหายท่องหล้า โดยแบ่งให้พ่อครัวอีกคนได้ลงมือปรุงอาหารเอง ในระหว่างที่รอเถ้าแก่หลินออกไปเจรจากับลูกค้า อู๋เจ๋อได้สอนและทบทวนวิธีการทำสามสหายท่องหล้ากับเหล่าพ่อครัวอีกครั้งจนทุกคนเข้าใจกันดี
“พี่ชาย พี่ชาย พี่ชายเป็นคนเตรียมวัตถุดิบและล้างผักเช่นนั้นหรือขอรับ” จางอี้หมิงเห็นว่าตนเองไม่มีอันใดทำ เขาจึงหันหน้าไปมาแล้วเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนว่าง ๆ เด็กชายได้โอกาสรีบเดินไปสะกิดเรียกเบา ๆ
“คุณชายน้อย มีอันใดหรือขอรับ” อู๋หมินเอียงคอถาม เขาเป็นหลานชายของอู๋เจ๋อ อายุราวยี่สิบปี ขณะนี้กำลังฝึกการเป็นพ่อครัวที่เหลาซิ่งฝูมาประมาณหนึ่งปีกว่าแล้ว
“พี่ชาย อย่าเรียกข้าว่าคุณชายเลย เรียกข้าเช่นท่านปู่เถอะ” จางอี้หมิงกล่าว
“ได้ ๆ หมิงหมิงน้อยมีอันใดหรือ”
“ตอนนี้พี่ชายว่างหรือไม่ ข้าอยากสอนให้พี่ชายทำดอกไม้จากมะเขือเทศและแตงกวา เอาไว้ตกแต่งจานอาหารน่ะขอรับ”
“ตอนนี้ข้าว่าง เจ้าจะสอนพี่ชายคนนี้จริงหรือ” อู๋หมินเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
“จริงขอรับ พี่ชายชื่อว่าอันใดขอรับ ข้าจะได้เรียกชื่อพี่ชายถูก”
“ข้าชื่ออู๋หมิน เป็นหลานชายของท่านลุงอู๋เจ๋อ เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชายหมินก็ได้”
“พี่ชายหมิน รบกวนหยิบมะเขือเทศกับแตงกวามาให้ข้าที อย่าลืมล้างให้เรียบร้อยด้วยนะขอรับ มาทำตรงโต๊ะเตรียมวัตถุดิบนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกแล้วจึงเดินไปรอที่โต๊ะกลางห้อง
อู๋หมินรีบหยิบผักออกมา เมื่อล้างแตงกวาและมะเขือเทศจนสะอาดแล้วจึงเดินมาสมทบกับอี้หมิงทันที เขาวางวัตถุดิบทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วยกตัวของเด็กน้อยขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ส่วน อู๋หมินยืนอยู่ข้าง ๆ อีกที
“หมิงหมิงน้อยบอกว่าจะทำดอกไม้จากซีหงซื่อเช่นนั้นหรือ”
“พี่ชายหมิน ต่อไปต้องเรียกมะเขือเทศนะขอรับ ห้ามเรียกซีหงซื่ออีก”
“ดะ ได้ หมิงหมิงน้อยจะทำดอกไม้จากมะเขือเทศเช่นนั้นหรือ” อู๋หมินลนลานถามอีกครั้ง คำพวกนี้ระหว่างที่รอสองพ่อลูกบ้านจางไปขายผ้า พวกเขาก็ถูกเถ้าแก่บังคับให้ฝึกเรียกไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าเถ้าแก่จะเห่อหลานชายคนใหม่ยิ่งนัก เพียงแต่ช่วงแรก ๆ เขาก็มีหลงลืมเผลอใช้คำที่คุ้นเคยเช่นเดิมไปบ้างเท่านั้น
“ขอรับ ดอกไม้จากมะเขือเทศทำง่ายมาก เพียงพี่ชาย หมินเอามีดมาปอกเปลือกมะเขือเทศให้เป็นเส้นจากบนลงล่างโดยที่ไม่ให้เปลือกมะเขือเทศขาดออกจากกัน ความกว้างของเส้นเอาสักสองข้อมือข้านี่แหละขอรับ เสร็จแล้วม้วนเปลือกเข้าหากันมันจะคล้ายดอกไม้ขอรับ” จางอี้หมิงว่าพลางชูนิ้วชี้เล็ก ๆ ให้กับ อู๋หมินได้ดู
อู๋หมินเมื่อได้ฟังคำอธิบายแล้วจึงหยิบมีดขนาดใหญ่ขึ้นมา จางอี้หมิงสะดุ้งโหยง ร้องห้ามเกือบไม่ทัน
“พี่ชายหมิน มีดที่ใช้ปอกเปลือกมะเขือเทศต้องเล็กและบางหน่อยขอรับ มีดใหญ่แบบนั้นไม่เหมาะขอรับ”
เด็กหนุ่มวางมือลง เขาเดินไปหยิบมีดมาสองสามเล่ม อี้ หมิงชี้เอาด้ามที่เล็กและบางที่สุดจากทั้งหมด
อู๋หมินพยายามทำตามที่เด็กชายบอกอยู่นาน หมดมะเขือเทศไปหลายลูกจนในที่สุดก็ได้เปลือกมะเขือเทศที่ไม่ขาดและขนาดเสมอกัน อี้หมิงถึงกับปรบมือให้กับความพยายามและหัวไวของพี่ชายตรงหน้า เขาหันไปมองทางด้านอู๋เจ๋อและพ่อครัวคนอื่น ก็เห็นว่าเร่งทำสามสหายท่องหล้ากันอย่างเต็มที่
“พี่ชายหมิน เนื้อมะเขือเทศห้ามทิ้งนะขอรับ เก็บเอาไว้ทำซอส เอ่อ เรียกอีกอย่างว่าน้ำปรุงรส ต่อไปทำแตงกวา เพียงพี่ชายหมินหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ไม่ต้องปอกเปลือกวางเรียงกันให้เป็นวงกลม แล้วนำดอกไม้มะเขือเทศวางลงตรงกลาง พี่ชายหมินก็จะได้จานอาหารที่สวยแล้วขอรับ วันนี้พวกเรามีเวลาไม่มากนัก ต่อไปข้าจะสอนพี่ชายหมินจัดจานรูปแบบต่าง ๆ นะขอรับ”
อู๋หมินทำตามที่จางอี้หมิงบอกทุกอย่าง เด็กหนุ่มพ่อครัวฝึกหัดทำดอกไม้ตกแต่งจานทั้งหมดสิบจาน ทันเวลาที่อู๋เจ๋อและพ่อครัวคนอื่นทำสามสหายท่องหล้าเสร็จพอดี ส่วนเนื้อมะเขือเทศเขาก็แยกเอาไว้ต่างหากแล้ว
“โอ้ หมิงหมิงน้อย อาหมิน ช่างสวยงามยิ่งนัก สิ่งนี้หรือที่เจ้าบอกว่ามันคือการจัดจานตกแต่ง” อู๋เจ๋อหันไปถามเด็กชายตัวน้อย เขายกสามสหายที่เสร็จแล้วมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของจางอี้หมิง
“ใช่แล้วขอรับ ดอกไม้ทำมาจากเปลือกมะเขือเทศ ส่วนข้างล่างนั้นเป็นแตงกวา แตงกวาจะช่วยแก้เลี่ยนเวลาที่กินพะโล้เยอะ ๆ ได้ด้วยขอรับ ท่านลุงอู๋นำดอกไม้และแตงกวายกไปวางไว้ด้านข้างบนจานอาหารทั้งหมดเลยขอรับ” จางอี้หมิงบอกหัวหน้าพ่อครัวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเขาเองเห็นว่าเหมาะสมที่สุด อย่างน้อยทักษะการเป็นพ่อครัวของอู๋เจ๋ออาจจะช่วยในการพิจารณาจุดที่จะต้องวางลงจาน
“ท่านลุงอู๋เจ๋อนำผักชีมาวางไว้บนถ้วยข้าวสวยด้วยขอรับ สีเขียวของใบผักชีจะทำให้ดูเด่นและสวยงามบนถ้วยข้าวสีขาวขอรับ” จางอี้หมิงบอกต่อ เขาคิดภาพในหัวเอาไว้แล้วว่าการจัดจานควรจะออกมาเป็นเช่นไร
และอู๋เจ๋อก็ไม่ทำให้เด็กน้อยผิดหวัง เขาสามารถนำดอกไม้มะเขือเทศและแตงกวามาจัดวางบนจานอาหารทั้งสิบได้อย่างลงตัวตามที่อี้หมิงต้องการ ถึงแม้ว่าจะมีติดขัดบ้างในตอนแรก พ่อครัวใหญ่ไม่ลืมจัดถ้วยข้าวตามคำบอกเล่าของพ่อครัวตัวน้อยด้วย
“ข้าไม่นึกเลยว่ามันจะมีกลิ่นหอมและสวยงามถึงเพียงนี้ หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างทำให้ท่านปู่คนนี้ประหลาดใจยิ่ง นี่ก็เป็นสิ่งที่ท่านย่าของเจ้าสอนมาเช่นนั้นหรือ” หลินไห่ลุกออกจากที่นั่งมาชะโงกหน้ามองจานอาหารทั้งสิบจานที่ตกแต่งสวยงาม พร้อมนำไปให้ลูกค้าได้ชิม
ในถาดไม้ประกอบไปด้วยจานนิลเง็กเซียนหนึ่งจานและข้าวสวยหนึ่งถ้วย ในส่วนของสามสหายท่องหล้าก็มีข้าวสวยหนึ่งถ้วยวางอยู่ด้วยเช่นกัน
อี้หมิงหันไปมองหน้าบิดาเพียงชั่วพริบตา ก่อนที่จะหันมายิ้มตาหยีให้กับหลินไห่
“ใช่แล้วขอรับ” ส่วนมือก็ไขว้กันอยู่ข้างหลัง
ข้าไม่ได้ตั้งใจโกหกนะ เพียงแต่พูดความจริงไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
“ข้าไปเมืองหลวงก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเห็นการตกแต่งจานอาหารและพะโล้แห้งเช่นบ้านเจ้ามาก่อน นี่คงเป็นสูตรลับที่ตกทอดกันมาในตระกูลสินะ”
“ท่านปู่ ข้าว่าเรารีบเอาอาหารออกไปให้ลูกค้ากันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงไม่อยากโกหกมากไปกว่านี้ เขาจึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าอายุเขาจะสั้นลงไปกี่ปีแล้ว
และก็เป็นไปตามเวลาที่หลินไห่ขอไว้กับลูกค้าทั้งหลาย นิลเง็กเซียนและสามสหายท่องหล้าพร้อมแล้วที่จะนำออกไปให้เหล่าลูกค้าได้ลิ้มลองรสชาติ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?