จางอี้หมิงพิจารณาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็รับรู้ได้ในทันทีว่าท่านเทพยังไม่ทอดทิ้งชาวบ้านหลัวถงและตนเอง เขาถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ ส่งผลให้จางอี้เทา ซุนซูเย่และชาวบ้านชายอีกห้าคนหันมามองเด็กชายเป็นตาเดียวกัน
จางอี้เทาได้สติก่อนใคร ชายหนุ่มเร่งก้าวเท้ายาว ๆ มาถึงบุตรชายเป็นคนแรกและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“หมิงเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าถูกแมลงกัด บอกพ่อมาก่อนอย่าเพิ่งร้องไห้ พ่ออยู่ตรงนี้แล้วเกิดอันใดขึ้นกันแน่” จางอี้เทาพยุงบุตรชายขึ้นยืนแล้วอุ้มจางอี้หมิงมากอดไว้
เด็กน้อยยินยอมให้บิดาอุ้มอย่างว่าง่าย ก่อนมือเล็กๆจะกอดบิดาไว้อย่างแน่นหนา ในขณะเดียวกันก็พยายามห้ามน้ำตาไปด้วย
“ไหน บอกพ่อมาสิเกิดอันใดขึ้น”
“ข้าดีใจขอรับ เรารอดแล้ว รอดตายแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น เขาพูดขึ้นมาเพื่อคลายความสงสัยของทุกคนอีกครั้ง
“ท่านพ่อนั่นคือหัวแยมขอรับ ข้ามิรู้ว่าที่นี่เรียกว่าอันใดแต่ในตำรานั้นเรียกว่าหัวแยม มันเหมือนหัวมันเทศและหัวหูหลัวโป มันอิ่มท้องกว่าหัวของดอกยู่จินเซียงและไป๋เหอฮวาอีกขอรับ”
เด็กน้อยยิ้มกว้าง หัวแยมนี้คือสิ่งที่เขาเพิ่งจะค้นคว้าข้อมูลมา มันคล้ายกับมันเทศแต่ไม่ใช่ เจริญเติบโตได้ดีในแถบทวีบแอฟริกาหรือในแถบทวีบยุโรปบางประเทศ
“ถ้าหากเราสามารถขุดเอาหัวแยมได้เป็นจำนวนมาก เราจะสามารถเอาไปทำอาหารได้ดีกว่าหัวของดอกไม้ขอรับ” จางอี้หมิงยังอธิบายต่อไปพร้อมปาดน้ำตาตัวเองที่ข้างแก้ม
“หมิงหมิงน้อย แต่ข้าสงสัยว่าหัวพวกนี้มาจากไหนในเมื่อเราเห็นแต่ต้นของดอกไม้เท่านั้น” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“คงเป็นเพราะว่าต้นมันถูกหิมะทับและตายไปแล้วจึงเหลือแต่หัว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูฝนอีกครั้งคงแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นมาเป็นต้นให้เราสังเกตได้ง่ายใช่หรือไม่หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาเป็นผู้ตอบคำถามนี้
“ท่านพ่อสันนิษฐานได้ถูกต้องแล้วขอรับ มันเหมือนกับหัวมันเทศต่าง ๆ ตามที่ข้าอธิบายไปก่อนหน้านี้ขอรับ”
“เช่นนั้นเรายังต้องการขุดหัวของดอกไม้อยู่หรือไม่” ชาวบ้านชายคนเดิมเอ่ยถามต่อ
“ข้าแนะนำให้ขุดหาหัวแยมก่อนเป็นอันดับแรก หากได้หัวแยมมากพอก็ไม่ต้องขุดหัวดอกไม้ขอรับ”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นจึงแยกย้ายกันไปทำตามที่เด็กน้อยบอก พวกเขาทั้งเจ็ดคนที่เคยออกไปหาอาหารและเชื้อเพลิงกับจางอี้หมิงไม่สงสัยในคำบอกของหลานชายบ้านจางแม้แต่น้อย เพราะเด็กน้อยคนนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสติปัญญามามากเพียงพอแล้ว
เมื่อพระอาทิตย์ตรงหัวทุกคนจึงหยุดขุดหัวแยมและเร่งเดินทางกลับไปในหมู่บ้านหลัวถง ซึ่งมีชาวบ้านมารออยู่ที่ลานประชุมก่อนแล้ว เมื่อชาวบ้านเห็นว่ามีการแบกของมาเต็มหลัง พวกเขาต่างส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมา เพราะนั่นหมายถึงอาหารยังมีอยู่นั่นเอง
“อาเย่ เจ้าได้สิ่งใดมา ดูท่าจะหนักและมากพอสมควร” ซุนถงเอ่ยถามบุตรชายขึ้นพร้อมรอยยิ้มในรอบหลายวัน
“หัวแยมขอรับ รวมทั้งหัวดอกยู่จินเซียงและไป๋เหอฮวา” ซุนเย่ตอบคำถามบิดาแล้วจึงนั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่ รอเพียงไม่นานเจียวเม่ยจึงได้นำน้ำชาผักหวาน ๆ เย็น ๆ ออกมาให้กับทุกคนที่กลับมาจากป่า
“ขอบใจน้องหญิง/ขอบคุณฮูหยินซุน/ขอบคุณท่านป้าขอรับ” พวกเขากล่าวขอบคุณเจียวเม่ยเป็นเสียงเดียวกัน
หลังจากที่นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ซุนซูเย่จึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้กับชาวบ้านฟังพร้อมกัน เมื่อฟังจนจบชาวบ้านต่างปรบมือดีใจ บางคนถึงกับก้มตัวลงกราบไปทั้งสี่ทิศเพื่อขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและส่งเสียงดังเซ็งแซ่ จางอี้เทาต้องให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านเคาะเกราะให้ทุกคนสงบลงเพื่อแจ้งข่าวเรื่องต่อไป
“เอาล่ะ เงียบกันก่อน” ซุนถงเอ่ยขึ้น
“พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจมากไป เรายังไม่สามารถวางใจได้ ข้ามีอีกหนึ่งเรื่องที่พวกเราจำเป็นต้องทำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหมดเรื่องที่จะแจ้งให้ชาวบ้านฟังเรียบร้อยแล้ว
เรื่องนี้เป็นจางอี้หมิงบุตรชายของเขาเอ่ยเตือนขึ้นตอนที่เดินมาประชุมในเช้าวันนี้ ซึ่งเขาก็เห็นด้วย
“มีเรื่องอันใดอีกเช่นนั้นหรืออาเทา” ซุนถงหัวหน้าหมู่บ้านถามกลับ
“เวรยามขอรับ ตั้งแต่เราโดนโจรปล้น ข้าเห็นสมควรให้มีการเดินตรวจเวรยามในหมู่บ้านและที่หน้าหมู่บ้านควรมีกลุ่มคนเฝ้าตลอดเวลาขอรับ ในส่วนของทางทะเลไม่น่าจะเป็นปัญหา คงไม่มีโจรมาทางทะเล” จางอี้เทาตอบและอธิบายในคราวเดียว
“หัวแยม หัวยู่จินเซียง และหัวไป๋เหอฮวา สามารถเก็บไว้ได้นาน หากเราขุดมาไว้ในที่เก็บอาหารก็จะสะดวกสบายเพราะไม่ต้องไปขุดบ่อย ๆ แต่เราจะแน่ใจได้เช่นไรว่าโจรจะไม่มาปล้นไปอีก ดังนั้นเวรยามเพื่อตรวจผู้ที่ผ่านเข้าออกหมู่บ้านจึงสำคัญ อย่างน้อยจะต้องมั่นใจว่าข่าวที่พวกเรามีอาหารจะต้องไม่แพร่งพรายออกไปนอกหมู่บ้าน” จางอี้หมิงอธิบายเพิ่มเติม
“แล้วเราจะแจ้งเรื่องหัวแยม หัวดอกไม้ทั้งสองเอามาทำเป็นอาหารได้ให้ท่านเจ้าเมืองทราบอีกหรือไม่” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยถามบ้าง
“ข้าว่าพวกเราไม่ควรแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบ พวกเจ้ายังไม่หลาบจำกับภัยหนาวเช่นนั้นหรือ ที่พวกเราโดนโจรปล้น หากครั้งนี้นำเรื่องนี้ไปแจ้งอีก ชีวิตของพวกเราจะรอดปลอดภัยเช่นนั้นหรือ” ชาวบ้านชายอีกคนเอ่ยคัดค้านขึ้นพร้อมทั้งให้เหตุผล ทำให้ชาวบ้านคนอื่นเริ่มปรึกษาหารือกันและเห็นสมควรด้วยที่จะไม่แจ้ง
“อี้เทาเจ้ามีความเห็นเช่นไร” ซูเย่หันไปถามจางอี้เทา
“ข้าก็เห็นด้วยที่ไม่สมควรแจ้ง ข้ารับไม่ได้อีกแล้วกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุร้ายก็ไม่เห็นมีใครมาช่วยพวกเรา อาหารขาดแคลนทางการก็หาได้ช่วยพวกเราไม่ ณ ตอนนี้พวกเราช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว เท่านี้ก็เป็นการช่วยทางการอย่างหนึ่งเช่นกัน” จางอี้เทาตอบเสียงเรียบ
ใครจะว่าเขาเห็นแก่ตัว เขาก็จะไม่เถียงแม้แต่คำเดียว เขาทนไม่ไหวอีกแล้วกับการที่ต้องเห็นไฟไหม้บ้านตัวเอง ภรรยาต้องมาป่วยเพราะเสียใจ และหากบุตรชายของเขาไม่ใช่เด็กที่ฉลาดเฉลียว เขาก็คงสูญเสียทั้งมารดาและบุตรชายไปแล้วจากความใจอ่อนของตนเองในครั้งนั้น
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นขอรับ” จางอี้หมิงออกความเห็นบ้าง
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงคิดว่าสมควรแจ้งทางการเล่า” จางอี้เทาเอ่ยถามความเห็นบุตรชาย
“ท่านพ่อ ข้ารู้ว่ามันอาจจะฟังดูไม่สนใจชีวิตของชาวบ้าน แต่ขอได้โปรดฟังความเห็นของข้าก่อนนะขอรับ ในฐานะของคนชาวเมืองไห่ถังเหมือนกัน ในตอนที่พวกเรารู้ว่าทางการไม่สามารถช่วยเหลือพวกเราได้ เรารู้สึกไม่ยินยอมและโกรธแค้น ในทางกลับกันถ้าชาวบ้านหลัวถงรู้ทีหลังว่าหมู่บ้านอื่นมีหนทางรอดแต่ไม่ยอมบอกกล่าวแก่หมู่บ้านของเรา พวกท่านจะรู้สึกโกรธแค้นหมู่บ้านอื่นนั้นหรือไม่ขอรับ
นั่นคือการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ในเมื่อเรากลัวโจรมาปล้น เหตุใดเราไม่จับกุมโจรนั้นให้หมดสิ้นไป เช่นนี้เราก็ไม่ต้องกลัวโจรแล้ว ลำพังพวกเราคงทำไม่ได้ แต่ถ้าหากเราเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านเจ้าเมือง เอาข่าวที่ว่าเรามีเสบียงอาหารแล้วทำแผนจับกุมโจรเช่นนี้ นอกจากหมู่บ้านหลัวถงจะปลอดภัย หมู่บ้านอื่นก็ปลอดภัยด้วย
เช่นนี้มิใช่วิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าหรือขอรับ ข้าขอถามพวกท่าน หากบ้านจางรู้ว่าหัวแยมคืออาหาร แล้วไม่แบ่งปันความรู้ให้กับพวกท่าน บ้านจางแอบไปขุดมาทำกินเอง เช่นนี้พวกท่านจะโกรธแค้นบ้านจางหรือไม่” จางอี้หมิงเอ่ยออกมาช้าๆ ชัดๆ ให้ทุกคนได้ฟังอย่างชัดเจนและคิดตามเหตุผล
“พวกเจ้าคิดว่าเช่นไร” ซุนถงเอ่ยถามขึ้นเมื่อปล่อยเวลาให้แต่ละคนได้ปรึกษากันอยู่หนึ่งเค่อ
“ข้าก็ไม่อยากเห็นด้วย ใครจะว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ยอม แต่ที่หมิงหมิงน้อยพูดมาก็ถูก ข้าไม่อยากอยู่ด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน” ชาวบ้านชายคนหนึ่งตอบ
“หากข้าเป็นหมู่บ้านอื่น ข้าก็คงโกรธหมู่บ้านหลัวถงและบ้านจางที่รู้แล้วไม่ช่วยเหลือ ปล่อยให้ข้าและครอบครัวต้องอดตาย หากเป็นผีคงตามมาหลอกหลอนเช่นกัน” ชาวบ้านชายคนหนึ่งกล่าวเสริม
“ความอดทนรวมกับความกล้าหาญ ย่อมบรรลุสุขแน่นอน ใช่หรือไม่หมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาเอ่ยคำถามเป็นคำตอบของบุตรชาย
“ขอรับท่านพ่อ เรามิได้สูญเสียสิ่งใด เพียงแต่นำความรู้ไปแจ้งเท่านั้น พวกเขาจะหาเจอหรือไม่เป็นเรื่องของโชคและวาสนา หมู่บ้านหลัวถงถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว หากเกิดอันใดขึ้น หาใช่ความรับผิดชอบของพวกเราแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นพวกเราก็นำความไปแจ้งทางการเถอะ อย่างน้อยเพื่อคุณธรรม คนที่ไม่มีคุณธรรมไม่สมควรเป็นคน” ซุนถงตัดสินใจออกมาอย่างเด็ดขาด
“ข้าขอแนะนำว่านอกจากจะต้องจัดเวรยามแล้ว การส่งสัญญาณต่าง ๆ รวมทั้งการหลบภัยต้องมีการฝึกขอรับ ข้าวของต่าง ๆ เป็นของนอกกาย ให้คิดถึงชีวิตรอดก่อนเป็นอันดับแรก เช่นนั้นตราบใดที่ยังจับโจรไม่ได้และยังไม่ปลอดภัย เราจะไม่มีการตุนเสบียงไว้ที่บ้านของพวกเรา
ในตอนเช้าขอท่านลุงเย่จัดชาวบ้านขึ้นไปขุดเอาหัวแยม หัวดอกไม้มาเก็บไว้ให้เพียงพอวันต่อวันเท่านั้น แล้วนำอาหารมารวมกันทำที่ลานประชุมนี้จนกว่าจะจับโจรได้” จางอี้หมิงอธิบายอีกครั้ง
หลังจากนั้นชาวบ้านจึงได้เริ่มประชุมวางแผนการดำเนินชีวิตในช่วงที่ยังคงมีการขาดแคลนอาหารและไร้ความปลอดภัยจากกลุ่มโจร
จางอี้เทาเป็นคนสอนการจัดเวรเฝ้าปากทางเข้าหมู่บ้าน การส่งสัญญาณเคาะเกราะตามลำดับและความหมายต่าง ๆ จนทุกคนเข้าใจกันดีแล้ว จางอี้หมิงจึงสอนการทำอาหารจากหัวแยมและหัวดอกไม้ทั้งสองอย่างต่อ
ด้วยหัวแยมและหัวดอกไม้เหมือนกับหัวมันเทศ การปรุงอาหารจึงเหมือนกัน จางอี้หมิงจึงไม่ได้บอกอันใดมากนัก
“อย่าลืมนะขอรับ หัวแยมและหัวดอกไม้ถ้ากินมาก ๆ จะทำให้ท้องอืด ในการขับถ่ายอาจจะลำบาก สำหรับการกินครั้งแรกให้ทดลองกินน้อย ๆ ก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่แพ้นะขอรับ ที่สำคัญหัวของดอกยู่จินเซียงต้องเอาตรงกลางออกทิ้ง เอามาทำอาหารไม่ได้เพราะมันเป็นพิษขอรับ” จางอี้หมิงไม่ลืมเอ่ยเตือนสิ่งที่ต้องจำ รวมทั้งพิษในหัวของดอกยู่จินเซียงด้วย
อาหารที่ทำขึ้นมาจึงเป็นการนึ่ง การต้ม การทำซุป รวมถึงการทำหัวแยมบด เพียงต้มให้เละ ผสมน้ำตาลผักและเกลือผักเพียงเท่านั้นก็อิ่มท้องแล้ว
หมู่บ้านหลัวถงรอดพ้นไปอีกหนึ่งวัน...
เช้าวันรุ่งขึ้นหิมะไม่ตกมาแล้ว อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น ไอแดดทำให้หิมะเริ่มละลายลงไปมากเกือบไม่หลงเหลือบนท้องถนนให้เห็นแล้ว
คาดว่าในสองวันหลังจากนี้หิมะคงละลายจนหมด ท่านอาจารย์เทียนอี้และสองหมิงหลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการปลูกผักในฤดูหนาวและหลังจากที่กลับไปในเมืองไห่ถังก่อนโจรปล้นหมู่บ้านหลัวถงในครั้งนั้น ทั้งสามคนก็ไม่กลับมาที่บ้านจางอีกเลย
จางอี้เทาและจางอี้หมิงรวมทั้งซุนถงกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย โดยมีเจียวเม่ยเป็นคนทำให้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีอาหารให้กินเพียงสองมื้อต่อวันเนื่องจากภาวะขาดแคลนอาหาร แต่เพราะพวกเขาต้องเข้าไปในเมืองจึงจำเป็นต้องกินอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อน นอกจากนี้ยังมีการห่ออาหารไปด้วย
ส่วยซุนซูเย่พาชาวบ้านชายไปขุดหัวแยมและหัวดอกไม้ตามที่จางอี้หมิงบอกไว้และเพราะต้องคอยเฝ้าระวัง เขาจึงต้องขึ้นไปควบคุมด้วยตนเอง
การเข้าเมืองในวันนี้ยังคงเป็นการนั่งเกวียนลุงผินเช่นเดิม การเข้าพบท่านเจ้าเมืองก็ไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไปจากครั้งที่แล้ว แม้แต่การต้องนั่งรอในห้องทำงานก็เป็นดั่งเช่นครั้งก่อนหน้านั้นมิผิดเพี้ยน
“คารวะท่านเจ้าเมืองขอรับ/คารวะคุณชายหวง” ชายทั้งสามคนจากหมู่บ้านหลัวถงทำความเคารพต่อท่านเจ้าเมือง ก่อนจะนั่งลงเมื่อได้รับการอนุญาตแล้ว
“เป็นพวกเจ้าอีกแล้ว คราวนี้มีอันใดมาแจ้งอีกเช่นนั้นหรือ” ท่านเจ้าเมือง หวังอี้ เอ่ยถามขึ้นพลางนั่งลงตรงเก้าอี้ของตนเอง
คุณชายหวงห่าวหรานก้มศีรษะให้กับจางอี้เทาโดยมิได้กล่าวอันใด แล้วเดินไปนั่งข้างบิดาเพื่อเข้าร่วมในการประชุมในครั้งนี้ด้วย
“ข้าน้อยเป็นตัวแทนหมู่บ้านหลัวถงมีเรื่องให้ท่านเจ้าเมืองทราบเกี่ยวกับพืชที่สามารถใช้เป็นอาหารได้ขอรับ” จางอี้เทาเป็นตัวแทนซุนถงในการกล่าวรายงาน
“โอ้ ช่างเป็นข่าวดียิ่ง พวกเจ้าพอจะบอกได้หรือไม่ว่ามันคือสิ่งใด” ท่านเจ้าเมืองถามด้วยความสนใจ
“มันคือหัวของดอกยู่จินเซียงกับดอกไป๋เหอฮวาขอรับ” จางอี้เทาตอบคำถามท่านเจ้าเมืองแล้วจึงหันไปขอตัวอย่างทั้งสองจากหัวหน้าหมู่บ้านหลัวถง เมื่อได้มาแล้วก็วางลงบนโต๊ะทำงานของท่านเจ้าเมือง
“ดอกไม้ทั้งสองอย่างนี้มักขึ้นในที่ราบลุ่ม เพียงท่านกระจายข่าวแจ้งไปให้ทุกหมู่บ้านรู้รวมถึงสอนวิธีการปรุงอาหาร คาดว่าอาจจะสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ สำหรับอันนี้เรียกว่าหัวแยม มันขึ้นอยู่กับดอกไม้ทั้งสองชนิดแต่ไม่มีต้นให้เห็นเพราะมันคงตายจากหิมะที่ทับไปหมดแล้วขอรับ”
จางอี้เทาอธิบายเพิ่มเติมรวมทั้งวิธีการปรุงอาหาร ข้อควรระวังไม่ว่าจะส่วนที่เป็นพิษ ส่วนที่อาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด รวมถึงการทดสอบอาการแพ้ตามที่บุตรชายได้เอ่ยเตือนมาตั้งแต่ก่อนการเดินทาง ซึ่งการประชุมปรึกษาหารือในครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ท่านเจ้าเมืองพอใจกับการรายงานในครั้งนี้ยิ่ง
“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ข้ามีเรื่องปรึกษาเกี่ยวกับโจรที่ออกปล้นอยู่ในตอนนี้” จางอี้หมิงเป็นผู้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าการประชุมเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว
“ได้มีเรื่องอันใดจงกล่าวมา”
“ในครั้งที่แล้วที่โจรปล้นหมู่บ้านหลัวถง โจรนั่นได้เผาบ้านข้าจนมอดไหม้ทั้งหลังเพื่อลงโทษท่านพ่อที่ซ่อนข้ากับท่านย่าไว้ ดูเหมือนโจรจะรู้จักครอบครัวข้าเป็นอย่างดีถึงรู้ว่าสมาชิกบ้านจางที่ไปรวมตัวกันมีจำนวนไม่ครบ
เห็นได้ว่ารอบตัวท่านไม่มีความน่าเชื่อถือ ข่าวถึงได้หลุดรอดออกไป ในครั้งนี้อาจจะเกิดปัญหาซ้ำขึ้นอีกก็เป็นได้ ท่านเจ้าเมืองมีการป้องกันหรือคิดหาทางรับมือไว้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม
“ข้ามิได้นิ่งนอนใจแต่โจรที่ออกปล้นมีเพียงกลุ่มเดียว การปล้นไม่มีแบบแผน แต่ก็มิได้ทำร้ายหรือฆ่าชาวบ้านจนถึงแก่ชีวิต เพียงแต่ปล้นเอาเสบียงไปเท่านั้น ทางการหาทางจับเจ้าโจรพวกนี้ได้ยากมากเพราะมันช่างว่องไวนัก
พวกโจรนำอาหารที่ปล้นได้ออกมาขายให้กับชาวเมืองไห่ถังราคาสูงกว่าปกติถึงห้าเท่า ชาวบ้านที่มีเงินบ้างจึงยังไม่เดือนร้อนจนเกินไป แต่เมื่อทหารไปสอบถามกลับไม่แจ้งข่าวใด ๆ เพราะพวกโจรขู่ว่าจะไม่ขายอาหารให้อีก จะให้ทหารปลอมตัวไปล่อซื้ออาหาร พวกโจรก็ช่างหูตาไวนัก” ท่านเจ้าเมืองตอบพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ข้าว่าเราสมควรเร่งรีบจัดการปราบปรามให้เรียบร้อยก่อนที่จะสร้างความเดือนร้อนไปทั่วเช่นนี้ขอรับ ถึงแม้ไม่ฆ่าให้ตายก็เหมือนตาย ไม่มีอาหารชาวบ้านก็ตายเช่นกัน” จางอี้เทาออกความเห็น
“พี่อี้เทามิใช่ท่านพ่อจะนิ่งนอนใจ ปัญหาในตอนนี้คือต้องเร่งรีบหาอาหารมาช่วยเหลือชาวบ้านเป็นอันดับแรก เมื่อคืนท่านพ่อได้รับสารจากเมืองหลวงที่ไม่สามารถช่วยเรื่องเสบียงอาหารได้ แต่ทางเมืองหลวงจะส่งพันธุ์พืชสำหรับเพาะปลูกในปีนี้สำหรับแจกจ่ายให้ชาวเมืองไห่ถังเป็นการชดเชยเรื่องอาหาร” หวังห่าวหรานอธิบาย
“ข้ามีความเห็นเกี่ยวกับการปราบโจรขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขึ้นมา
“เด็กน้อยเจ้ามีแผนเช่นไร” ท่านเจ้าเมืองหันมาถาม
“ท่านเจ้าเมืองปล่อยข่าวออกไปว่าหาอาหารได้แล้วเป็นจำนวนมาก สามารถแจกจ่ายให้กับชาวบ้านทุกคนได้ไม่มีปัญหา ลวงพวกโจรโดยการขนอาหารเข้ามาเก็บไว้ที่คลัง เมื่อโจรออกปล้นให้ปล่อยโจรขนไป แกล้งต่อสู้ให้โจรตกหลุมพรางเพียงเท่านั้น พวกโจรเมื่อปล้นมาแล้วก็ต้องขนอาหารกลับไปยังรังโจร เมื่อถึงตอนนั้นค่อยนำกำลังทหารเข้าจับกุมขอรับ
วิธีการนี้จะทำให้กวาดล้างโจรได้ทั้งกลุ่ม และยังมีโอกาสได้อาหารที่โจรปล้นกลับคืนมาด้วยขอรับ สำหรับวิธีการที่แยบยลเห็นทีท่านเจ้าเมืองสมควรเรียกหัวหน้าทหาร หัวหน้ามือปราบมาปรึกษาหารือแล้วขอรับ พวกข้าเป็นเพียงชาวบ้านมิสามารถช่วยเหลือได้มากนัก”
จางอี้หมิงอธิบายรวดเดียวจบ เขาได้ทำหน้าที่ถึงที่สุดแล้ว จะเป็นเช่นไรต่อไปนั้นเป็นเรื่องของท่านเจ้าเมืองแล้ว วิธีการนี้ก็ได้มาจากการอ่านนิยายในสมัยก่อน ถึงแม้มันจะฟังดูเป็นแผนตื้น ๆ ก็เถอะ
สิ่งที่ทำให้จางอี้หมิงอยากจะจับโจรให้ได้ไวที่สุดเพราะคิดว่าโจรนี้ต้องรู้จักหรือมีความแค้นส่วนตัวกับบ้านจาง หากจะนอนให้หลับอย่างสบายใจต้องจับโจรให้ได้เพียงเท่านั้น
หลังจากที่ปรึกษาหารือกับท่านเจ้าเมืองจนเข้าใจตรงกันแล้ว บ้างจางกับซุนถงจึงลาท่านเจ้าเมืองไปหาเถ้าแก่หลินไห่เพื่อสอบถามถึงเสบียง เสร็จแล้วจึงเดินทางกลับหมู่บ้านหลัวถง ปล่อยให้การดำเนินการจับโจรร้ายเป็นหน้าที่ของทางการไป
ผ่านมาแล้วสิบห้าวันหลังจากที่กลับมาจากการแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบ ชีวิตประจำวันของชาวบ้านหลัวถงเริ่มดีขึ้นเนื่องจากได้ผ่านพ้นฤดูหนาวอย่างแท้จริง อากาศอบอุ่นขึ้นทุกวัน แต่ชาวบ้านยังต้องไปทำอาหารรวมกันที่ลานหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการออกไปขุดหัวแยม หัวดอกไม้ การวางกับดักล่าสัตว์ แม้แต่การทำซุปสายรุ้งหรือหอยหินซุป ความสามัคคีของชาวบ้านหลัวถงเป็นสิ่งที่จางอี้หมิงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น
เพราะในนิยายเรื่องไหน ๆ ที่เขาเคยอ่านมา การเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของชาวบ้านยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก ในเมื่อท่านเทพไม่ได้โหดร้ายกับชีวิตของเขามากนัก เขาจึงได้แต่ขอบคุณไม่ว่าอะไรก็ตามอยู่เพียงในใจเงียบ ๆ เพราะหากยังต้องมาทะเลาะหรือต่อกรกับชาวบ้านเหมือนนิยายเรื่องอื่นอีก เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองจะแก้ปัญหาได้เช่นพระเอกนางเอกพวกนั้นไหม
“ข่าวดี ข่าวดี ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน มีข่าวดีขอรับ” อาห้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในลานหมู่บ้าน ขณะที่กำลังแจกมื้ออาหารเย็นให้กับทุกคน
“อาห้าว ข่าวดีอันใดหรือ” หลวนซานเอ่ยถาม ตอนนี้เขากลับตัวกลับใจเป็นคนดี ขยันทำงานเพื่อครอบครัว กลายเป็นคนใหม่ไปแล้ว
“พวกโจรน่ะสิ ทางการจับโจรได้แล้วทั้งก๊กเลย” อาห้าวรีบตอบคำถามก่อนจะนั่งลงหอบจนตัวโยนบนแคร่ไม้ไผ่กลางลานบ้าน เมื่อดีขึ้นแล้วจึงลงมือเล่าข่าวที่ตนเองได้รับมาจากการเข้าไปในเมืองในวันนี้
“จริงหรือ เป็นข่าวดีจริง ๆ”
“เจ้ารีบเล่ามา”
“เมื่อเช้าข้าได้เข้าไปในเมืองเพื่อไปหาซื้อยามาให้กับท่านแม่ของข้า เพราะท่านหมอผิงไม่มียาเหลืออยู่เลย ข้าได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันเสียงดังไปทั่ว จึงได้ไปสอบถามถึงได้รู้ว่าทางการจับโจรที่ออกปล้นเสบียงชาวบ้านได้แล้ว
พวกโจรเป็นพวกพ่อค้าที่รวมตัวกันสองสามร้าน พวกมันเสียผลประโยชน์เพราะหมู่บ้านเราไปแจ้งทางการให้แก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงทำให้ถ่านที่ตุนเก็บไว้ขายไม่ออก ขาดทุนเป็นจำนวนมาก หัวหน้าโจรก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นนักเลงหัวไม้ที่เถ้าแก่พวกนั้นจ้างมา
พวกมันยังสารภาพว่าที่เผาบ้านจางเพราะมันรู้ว่าบ้านจางทำการค้ากับเถ้าแก่หวังและกองกำลังเหลียงอัน พวกมันอิจฉา” อาห้าวเล่าไปพลางจิบชาที่เจียวเม่ยเอามาให้ไปพลาง เขากระหายน้ำหลังจากเล่าจบจึงดื่มน้ำเสียงดังอึกใหญ่
“เป็นโชคดีของพวกเราที่เป็นเพียงโจรกระจอก นักเลงหัวไม้ ถึงว่าไม่มีข่าวฆ่าใครเลย เอาไปแต่เสบียงอาหาร แต่ข้าสงสัยเหตุใดทางการถึงจับไม่ได้สักที” ชาวบ้านชายออกความเห็นและเอ่ยถามขึ้น
“ข้าว่าพวกชาวบ้านในเมืองน่ะ ถึงแม้จะเป็นของที่โจรขาย แต่ที่ไม่แจ้งทางการเพราะมีเสบียงให้ซื้อ ยอมเสียเงินมากหน่อยแต่ก็ไม่อดตาย เป็นข้าก็เลือกทำแบบนี้เช่นกัน ใครจะว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ตาม” ชาวบ้านอีกคนออกความเห็น
“ข่าวดีที่สุดที่ข้าไปอ่านมาจากที่ประกาศคือทางการจะคืนเสบียงกลับคืนให้หมู่บ้านที่โจรปล้นไปด้วย ถึงแม้ว่าจะเหลือไม่มากแล้ว แต่ข้าว่ายังดีกว่าไม่ได้อันใดเลย” อาห้าวเล่าเพิ่มเติม
“อาห้าว เจ้าอ่านหนังสือออกเช่นนั้นหรือ” ชาวบ้านชายคนหนึ่งถามอย่างสงสัย
“บ๊ะ ข้าก็ให้พวกในเมืองอ่านให้นะสิ” อาห้าวเอ่ยตอบเสียงฉุน
“ฮะ ฮะ ฮะ” ส่งผลให้ชาวบ้านคนอื่นหัวเราะออกมาพร้อมกันกับท่าทีของอาห้าว
“เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อมีข่าวดีเช่นนี้อีกไม่กี่วันทางการคงให้คนมาแจ้งกับพวกเรา อย่างไรก็รอให้ทางการประกาศออกมาเสียก่อน จึงกลับไปใช้ชีวิตปกติได้” ซุนถงเอ่ยสรุปให้ทุกคนได้ฟังอีกที
“ทุกท่านปีนี้หมู่บ้านหลัวถงของพวกเราเจอกับปัญหาหนักหนาสาหัสมากมาย ทั้งสูญเสียสมาชิกในครอบครัว ทั้งอดอยาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราได้มาจากภัยหนาวในปีนี้ สิ่งนั้นคือความสามัคคี ไม่เห็นแก่ตัว การแบ่งหน้าที่กันทำในสิ่งที่ตนถนัด สิ่งเหล่านี้ทำให้หมู่บ้านหลัวถงสูญเสียน้อยที่สุดและผ่านพ้นภัยหนาวมาได้อย่างสง่างาม ข้าขอให้ทุกคนจดจำเหตุการณ์ในครั้งนี้ไว้ให้ดี เพื่อเตรียมการในปีต่อ ๆ ไป”
จางอี้เทาในฐานะที่เคยเป็นอาจารย์มาก่อน ถือว่ามีคุณสมบัติพอที่จะสั่งสอนชาวบ้าน ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้ให้ข้อคิดกับชาวบ้านไปด้วย
“พวกเราต้องขอบคุณบ้านจางที่ไม่เคยเห็นแก่ตัว และเพราะการจัดทำกลุ่มการค้าหลัวถง มีเงินกองกลางทำให้แก้ปัญหาไปได้ ในตอนนี้ข้าเชื่อแล้วหมดใจว่ามันเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ ต่อไปนี้ขอให้บ้านจางบอกมาพวกเราชาวบ้านยินดีทำตาม”
ชาวบ้านชายหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมไปหาเชื้อเพลิงและอาหารลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเสียงดัง พลอยทำให้ชาวบ้านคนอื่นปรบมือและโห่ร้องยินยอมให้บ้านจางเป็นผู้นำการค้าของตนเองได้อย่างไม่มีข้อกังขา
“ท่านพ่อขอรับ ข้าดีใจที่สุดที่ทุกอย่างจบลงด้วยดีเช่นนี้ หวังว่าอีกไม่กี่วันทางการจะเอาพันธุ์พืชมาแจกตามที่ท่านเจ้าเมืองแจ้งไว้นะขอรับ”
จางอี้หมิงเอ่ยถามบิดาขึ้นเมื่อทั้งสองคนเดินกลับบ้านด้วยกันหลังจากเลิกประชุมแล้ว
“อืม” จางอี้เทาพยักหน้าและยิ้มตอบบุตรชาย
“ฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วเช่นนั้นท่านพี่คงได้เปิดสำนักศึกษาเสียทีนะเจ้าคะ” หลี่อ้ายปรารภขึ้นมาบ้าง
สถานการณ์ภัยหนาวที่เกิดขึ้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเช่นนี้ ครอบครัวจางก็มีความสุข บ้านที่ต้องสร้างใหม่ก็คงจะยังไม่ทำในทันทีเพราะหากทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ บ้านจางมุ่งมั่นจะทำการค้าอย่างจริงจังเสียก่อน อี้หมิงยกยิ้มกว้าง เขาให้สัญญากับตนเองในใจเงียบ ๆ คนเดียวอย่างแน่วแน่
กลุ่มการค้าหลัวถงต้องเลื่องชื่อไปทั่วทั้งดินแดนนี้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?