เสียงนกร้องบ่งบอกเวลาเช้าดังขึ้นเฉกเช่นทุกวัน เหมือนกับสมาชิกบ้านจางที่ลุกขึ้นมาช่วยทำงานกันอย่างพร้อมหน้า หลี่อ้ายลงมือปักผ้าตามที่ได้รับผ้าและอุปกรณ์มาจากเถ้าแก่เนี้ยร้านผ้า จางอี้เทาไปป้วนเปี้ยนอยู่กับนายช่างใหญ่เพื่อดูการก่อสร้างบ้าน ส่วนจางอี้หมิงกับนางหูมุ่งหน้าไปที่บ้านซุนตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อวาน
นางหูมาช่วยสอนการทำหัวเชื้อน้ำตาลผักให้กับบ้านสกุลซุน ซึ่งทั้งซุนถง ซุนซูเย่ เจียวเม่ยหรือแม้แต่เด็กสองคนของบ้านก็มานั่งดูบิดา มารดาและท่านปู่เรียนการทำหัวเชื้อด้วย
ช่วงสายของวัน ชาวบ้านเอาเกลือผักที่แต่ละบ้านได้ทดลองทำมาส่งให้นางหูตรวจสอบดูว่าใช้ได้หรือไม่ แห้งพอไหม รสชาติถูกต้องแล้วหรือยัง นางหูตอบคำถามและแนะนำสิ่งที่ชาวบ้านยังทำไม่ถูกไปตามที่ตนเองได้รับการสอนมาจากหลานชายอีกที
วันนั้นทั้งวัน จางอี้หมิงและนางหูจึงยุ่งอยู่ที่บ้านสกุลซุน ช่วยกันสอนและตรวจสอบสินค้า กว่าจะรู้ตัวก็เย็นย่ำ เมื่อกลับมาถึงบ้าน จางอี้หมิงรีบเดินไปที่บริเวณก่อสร้าง เขามองบ้านที่ถึงแม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากนักแต่ก็รู้สึกอุ่นใจเป็นที่สุด
เช้าวันถัดมาเป็นวันที่เหลาซิ่งฝูจะเปิดตัวรายการอาหารชนิดใหม่ บ้านสกุลจางจึงตั้งใจตื่นเช้ากว่าปกติ กินข้าวกินปลาเสร็จเรียบร้อยก็รอพบนายช่างใหญ่เพื่อฝากฝังงาน ก่อนจะนั่งรถม้าของท่านปู่หลินที่ส่งมารับไปที่บ้านของเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูก่อนเป็นอันดับแรก
“พี่ซีฮัน เหตุใดท่านปู่หลินถึงให้พาพวกข้ามาที่เรือนท่านปู่ก่อนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
ปกติแล้วมีอันใดก็นัดพบกับที่เหลาอาหารเลยมิใช่หรือ ทว่าซีฮันยังไม่ทันได้ตอบคำถาม ตู้จินเหมยก็เดินออกมาจากเรือนเสียก่อน
“อาเทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้ามาถึงแล้ว” ตู้จินเหมยเอ่ยทักเด็กน้อยเสียงสดใส
“คารวะท่านย่าใหญ่/คารวะท่านแม่บุญธรรม” จางอี้หมิงและจางอี้เทาเอ่ยทักทายพร้อมกัน
“ไม่ต้องมากพิธี นี่คงเป็นมารดาและภรรยาของเจ้าใช่หรือไม่ อี้เทา”
“ขอรับท่านแม่บุญธรรม นี่คือมารดาของข้า หูไป๋หง และหลี่อ้าย ภรรยาขอรับ ท่านแม่ น้องหญิงนี่คือท่านแม่บุญธรรม ตู้จินเหมย ภรรยาของเถ้าแก่เหลาซิ่งฝูขอรับ”
“คารวะฮูหยินหลินเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องมากพิธีไป หูไป๋หง อายุเจ้าคงน้อยกว่าข้า ต่อไปก็เรียกข้าว่าพี่จินเหมย ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่าท่านแม่บุญธรรมตามอาเทาเถอะ พวกเราหาใช่คนอื่นคนไกลไม่” ตู้จินเหมยยกยิ้มและเริ่มตอบข้อสงสัย
“ที่ข้าพาพวกเจ้ามาที่เรือนก่อนไปที่เหลาเพราะว่าข้ามีของจะมอบให้เจ้า เข้าไปข้างในกันเถอะ” ฮูหยินหลินเอ่ยชวนก่อนเดินนำไปที่ห้องรับรอง เมื่อไปถึงจึงได้เรียกบ่าวรับใช้นำสิ่งของออกมาแล้วชวนทุกคนไปดู
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงยังไม่มีเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงในวันนี้ ชุดพวกนี้หวังว่าพวกเจ้าจะชอบ อาเทา เจ้าพาหมิงหมิงน้อยไปแต่งตัวที่ห้องของเจ้า สำหรับมารดาและภรรยาเจ้า ข้าจะจัดการเอง”
“ท่านแม่บุญธรรม ข้าขอเป็นตัวแทนสกุลจางกล่าวคำขอบคุณ ขอบคุณท่านแม่บุญธรรมมากขอรับ” จางอี้เทายกมือคารวะขอบคุณ สมาชิกบ้านจางคนอื่น ๆ จึงทำตามทันที
“หาต้องเกรงใจไม่ พวกเราก็เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ข้าทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เจ้าสองคนรีบไปเถอะ ผู้หญิงใช้เวลานานเจ้ามิรู้หรือ” ตู้จินเหมยเอ่ยไล่สองพ่อลูกให้ออกจากห้องไป ก่อนที่จะเรียกสาวใช้มาจัดการแต่งหน้าทำผมให้กับหูไป๋หงและหลี่อ้าย
“พี่จินเหมย ข้ากับลูกสะใภ้ต้องขอขอบคุณท่านอีกครั้ง ตั้งแต่พวกเราออกมาจากเมืองหลวง นี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้สวมเสื้อผ้าดีๆ เช่นนี้” หูไป๋หงเอ่ยออกมาพลางลูบไล้ไปบนชุดผ้าไหมชั้นดีสีน้ำเงินเข้มปักลายสีทองตัดกัน ดูสูงส่งยิ่งนัก ด้วยสามีทำกิจการค้าผ้า นางหูจึงรู้ทันทีว่าชุดที่ได้รับต้องมีมูลค่าสูงเป็นแน่
ในส่วนของหลี่อ้าย ชุดที่ได้เป็นชุดสำหรับหญิงสาว มีพื้นสีเขียวเข้มสลับสีส้มส่งให้ดูน่าค้นหาและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น บ่าวรับใช้สองคนที่กำลังทำผมให้กับหญิงสกุลจางเติมชาดลงไปบนริมฝีปาก ยิ่งขับให้ใบหน้าดูสว่าง งดงามราวเทพธิดา กระทั่งเวลาผ่านไปราวสองเค่อ หูไป๋หงกับหลี่อ้ายถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่คิดว่าตนเองจะได้กลับมาสวมใส่ชุดที่สวยงามเช่นนี้อีกครั้ง
“ช่างสวยงามยิ่งนัก แต่พวกเจ้าลืมอันใดไปหรือไม่” ตู้จินเหมยเอ่ยชมก่อนจะยื่นกล่องไม้ให้กับทั้งสองคน เมื่อนางหูกับหลี่อ้ายเปิดกล่องไม้ออกมาจึงเห็นเครื่องประดับและปิ่นปักผมที่เข้ากับชุดของทั้งสอง
“ข้าว่าเหมาะสมกับพวกเจ้ายิ่งนัก มาเถิด ข้าจะปักให้” ฮูหยิน หลินหยิบปิ่นปักผมให้กับหูไป๋หงเป็นคนแรก แล้วจึงตามด้วยหลี่อ้าย
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หูไป๋หงและหลี่อ้ายเอ่ยขอบคุณฮูหยินหลินอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ อาเทากับหมิงหมิงน้อยคงเสร็จเรียบร้อยแล้ว” ฮูหยินหลินว่าแล้วเดินนำออกจากห้องไป
เมื่อออกมาถึงห้องโถง จึงเห็นจางอี้เทาในชุดผ้าไหมสีม่วงเข้มชายหนุ่มรวบผมสวมหมวกเรียบร้อยดังเช่นบัณฑิต ส่วนหลานชายตัวน้อยก็สวมชุดสีฟ้าเข้มคาดเอวด้วยสายรัดเอวสีดำ อีกทั้งยังรวบผมเรียบร้อย มองดูน่ารักน่าชังยิ่ง
“ท่านย่าใหญ่ ข้าน่ารักหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเมื่อเห็นทุกคนเดินเข้ามาจึงรีบเข้าไปออดอ้อนเสียงหวาน
“หมิงหมิงน้อยช่างน่ารักยิ่ง สมแล้วที่เป็นหลานย่าใหญ่ พวกเราไปกันเถอะ คงได้เวลาพอดีเมื่อไปถึง” ตู้จินเหมยบอกทุกคนแล้วเดินนำออกจากเรือนเพื่อขึ้นรถม้ามุ่งตรงไปยังเหลาอาหารซิ่งฝู
“น้องหญิง วันนี้เจ้าช่างงามนัก” จางอี้เทาเอ่ยชมภรรยา
“วันนี้ท่านพี่ก็รูปงามมากเช่นกันเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายเอ่ยชมสามีกลับไป
จางอี้เทาประคองภรรยาเดินตามมารดาและมารดาบุญธรรม เมื่อเห็นว่ามารดาทั้งสองหาได้สนใจทางด้านหลังไม่ จึงขโมยหอมแก้มภรรยาไปหนึ่งที หลี่อ้ายถึงกับหน้าแดงและยกมือขึ้นหยิกสีข้างของสามีไปด้วยความเขิน โทษฐานทำให้นางได้อาย จางอี้เทาแกล้งโอดโอยแต่หาได้มีเสียงดังออกจากปากหนานั่นไม่ หลี่อ้ายถึงกับส่ายหน้าให้ความขี้แกล้งของสามี
ณ เหลาอาหารซิ่งฝู คณะของฮูหยินหลินและครอบครัวสกุลจางเดินทางมาถึงทันเวลาเริ่มงานไม่นาน ผ้าสีมงคลและป้ายกระดาษมงคลถูกประดับไปทั่วทั้งเหลาอาหาร บางส่วนยังมีคนงานวางของตกแต่งไม่หยุด พวกเขาเดินผ่านไปยังหลังร้านซึ่งเป็นห้องทำงานของเถ้าแก่หลิน ตู้จินเหมยและทุกคนไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเนื่องจากว่ายังไม่ถึงเวลาตามฤกษ์ที่ได้รับมา
“อาเทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้าแต่งตัวเช่นนี้แล้วไม่คล้ายชาวบ้านแม้แต่น้อย ช่างดูสง่างามและน่าเคารพเสื่อมใส สมกับที่เคยเป็นบัณฑิตยิ่งนัก” เถ้าแก่หลินเอ่ยชม
“ท่านปู่ แล้วข้าเล่า ข้าน่ารักหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงได้ทีเดินไปออดอ้อนบ้าง
“หมิงหมิงน้อยของปู่ต้องน่ารักอยู่แล้ว ชุดนี้ปู่เป็นคนเลือกเองกับมือนะเจ้าตัวเล็ก” หลินไห่ถึงกับก้มลงไปเอ่ยชมเด็กชายตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม
“หมิงหมิงน้อย อย่าไปเชื่อท่านปู่หลิน เป็นย่าใหญ่ต่างหากเล่าที่เป็นคนเลือกชุดนี้ให้กับเจ้า สามี ท่านอย่าได้หลอกหลานเพื่อเอาหน้าไปคนเดียว” ตู้จินเหมยได้ยินสามีเอ่ยเช่นนั้นจึงได้รีบแก้ไขให้ถูกต้อง
"โธ่ ฮูหยิน ข้าก็แค่อยากเอาใจหมิงเอ๋อร์ก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าหรือข้าซื้อให้ ก็ล้วนแต่เป็นของที่ตั้งใจเลือกสรรมาดีแล้ว" หลินไห่ว่าต่อ ฮูหยินหลินได้แต่ส่ายหน้าเมื่อได้ฟังคำกล่าวแก้ตัวของสามี
“เถ้าแก่ ได้เวลาแล้วขอรับ” ซีฮันเข้ามาแจ้งครอบครัวเจ้านายที่กำลังพักผ่อนให้ทราบว่าถึงเวลาในการเริ่มงานเลี้ยงเปิดตัวอาหารชนิดใหม่แล้ว
“ไปกันเถอะฮูหยิน พวกเจ้าด้วย” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยขึ้นก่อนที่จะนำทุกคนออกไปยังหน้าเหลาอาหารซิ่งฝู
ณ บริเวณด้านหน้าเหลาอาหารซิ่งฝู หลินไห่ ตู้จินเหมย และ หมิงหมิงน้อยยืนอยู่ด้วยกันเพื่อต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ที่ได้ส่งเทียบเชิญไปเมื่อหลายวันก่อน สำหรับจางอี้เทา หลี่อ้ายและนางหูนั่งรออยู่ที่โต๊ะข้างในงานก่อนแล้ว ซึ่งในนั้นยังประกอบไปด้วยเฉินเจีย ฉีหมิง และผู้ที่เข้าร่วมประมูลในวันที่เกิดเหตุด้วย นอกเหนือจากนั้นจึงเป็นผู้ที่ได้ทำการจองเอาไว้โดยเฉพาะ
ยืนรอไม่นาน คณะของท่านเจ้าเมืองหวง หวงอี้ จึงเดินทางมาพร้อมกับฮูหยินและคุณชายหวงห่าวหราน เถ้าแก่หลินได้พาพวกเขาเข้าไปข้างในนั่งตรงโต๊ะที่ได้จัดเตรียมไว้ ผ่านไปไม่นาน หนิงอ๋องและท่านอาจารย์เทียนอี้จึงได้ตามมา เมื่อเห็นว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนได้เดินทางมาถึงเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่หลินจึงได้เริ่มเปิดงานเลี้ยง
การวางแผนผังโต๊ะ จางอี้หมิงได้เสนอให้จัดเป็นแนววงกลมโดยที่เว้นตรงกลางไว้สำหรับการแสดงการร่ายรำ ภาพวาด รวมถึงอาหารที่จะมีการกล่าวถึงที่มา ชื่ออาหาร โดยที่เด็กน้อยบอกให้จัดออกมาเป็นชุดๆ เพียงแค่ทดลองชิมเท่านั้น แต่เพราะมีหลายรายการจึงอิ่มพอดี
หนิงอ๋องถึงแม้ว่าจะเป็นคนต่างแคว้น แต่โดยศักดิ์แล้วมีตำแหน่งสูงกว่าเจ้าเมืองไห่ถัง ดังนั้นผู้ที่ได้นั่งโต๊ะด้านหน้าและมุมดีที่สุดจึงเป็นท่านอ๋อง เมื่อไปนั่งที่โต๊ะแล้ว ท่านอ๋องเห็นว่าตนเองต้องนั่งเหงาอยู่สองคนกับท่านอาจารย์ จึงมีรับสั่งให้จัดโต๊ะใหม่ โดยเรียงลำดับการนั่งดังนี้
หนิงอ๋องอยู่ตรงกลาง ทางด้านขวาคือเถ้าแก่หลินไห่และจางอี้ หมิง ทางด้านซ้ายคือท่านเจ้าเมือง ท่านอาจารย์อี้และคุณชายหวง ซึ่งการนั่งแบบนี้ท่านอ๋องชอบใจยิ่ง สำหรับฮูหยินทั้งหลายจัดให้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน ส่วนแขกที่เหลือนั่งตามตำแหน่งเดิม
การเปิดงานเลี้ยงเริ่มด้วยการแสดงการร่ายรำของหญิงงามทั้งสามนาง หลังจากที่การแสดงจบลง อู๋เจ๋อจึงให้เสี่ยวเอ้อร์ที่วันนี้หาได้เป็นชาย แต่เป็นสาวน้อยแต่งชุดสีสดใสงดงามเดินนำอาหารที่จัดตกแต่งไว้อย่างสวยงามมาวางไว้ตรงหน้าของทุกคน เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ถือจานอาหารผ่านไป กลิ่นหอมจึงลอยคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่การจัดงาน
“คารวะทุกท่าน ข้าอู๋เจ๋อ เป็นหัวหน้าพ่อครัวของเหลาซิ่งฝู ในวันนี้ จะทำหน้าที่แนะนำรายการอาหารที่ทางเหลาซิ่งฝูได้คิดค้นขึ้นมาใหม่ หวังว่าลูกค้าทุกท่านจะมีความสุขขอรับ
รายการอาหารชนิดแรกในวันนี้คือซุปผัก ทุกบ้านต่างก็เคยกินซุปผัก แต่คงยังไม่เคยได้ชิมซุปผักของเหลาซิ่งฝู เชิญลิ้มลองได้เลยขอรับ” อู๋เจ๋อโค้งตัว เขายืนรอให้ทุกคนได้ชิม
“โอ้...มันหวาน ซดได้ลื่นคอยิ่งนัก”
“ข้าชอบความอุ่นของซุปมากกว่า”
หลังจากนั้น อู๋เจ๋อจึงนำอาหารชนิดต่อไปออกมา ทั้งสามสหายท่องหล้า ดาราเกี้ยวบุหลัน นิลเง็กเซียน สุดท้ายคือหุบเขาเดียวดาย โดยเฉพาะรายการอาหารสุดท้ายนี้ ทำให้ลูกค้าทุกคนพูดถึงเสียงดังเซ็งแซ่ ฟังไม่ได้ความแม้แต่น้อย
“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ รายการอาหารสุดท้ายนี้เรียกว่า หุบเขาเดียวดาย เป็นรายการใหม่ล่าสุด ทุกท่านคงจะสัมผัสได้แล้วว่าอาหารมีกลิ่นหอมแค่ไหน เพราะกลิ่นหอมนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อหุบเขาเดียวดาย ตามตำนานที่ข้าจะเล่าต่อไปนี้........” หลังจากนั้นอู๋เจ๋อจึงเริ่มเล่าเรื่องราวอันเป็นที่มาของหุบเขาเดียวดาย เมื่อเล่าจบ ลูกค้าถึงกับพากันปรบมือเห็นด้วย
“เป็นข้าคงเลือกทำเช่นตำนาน”
“ข้าก็เช่นกัน”
หลังจากที่การเปิดตัวอาหารชนิดใหม่ผ่านพ้นไป สิ่งถัดมาจึงเป็นการแสดงภาพวาดและงานศิลป์ ซึ่งเป็นส่วนที่คุณหนู คุณชายจากจวนต่าง ๆ รอคอยมากกว่าการลิ้มรสอาหาร เนื่องจากคุณชายหวงเป็นผู้ดำเนินการวิจารณ์งานศิลป์ที่ส่วนมากแล้วเป็นงานที่เหล่าคุณหนู คุณชายนำมาร่วมแสดง ซึ่งบางคนถึงกับรังสรรค์งานขึ้นมาเองเพื่องานนี้
คุณชายหวงได้ภาพที่เห็นว่ามีคุณค่าอยู่หลายภาพเช่นกัน เสร็จงานแล้วเถ้าแก่หลินจึงนำทุกคนมาส่งหนิงอ๋องถึงรถม้า ท่านอ๋องพอพระทัยและเอ่ยว่าจะแวะมาลิ้มลองอาหารที่นี่ก่อนกลับแคว้นหากมีโอกาส ทำเอาเจ้าของเหลาอาหารยิ้มหน้าบานและกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่
หลังจากส่งท่านอ๋องแล้ว รถม้าของท่านเจ้าเมืองจึงเข้ามาจอดรับ หลินไห่กล่าวลาและขอบคุณสำหรับคำตอบรับร่วมงาน ซึ่งท่านเจ้าเมืองเห็นต่าง ถึงกับเอ่ยขอบคุณจางอี้หมิงและเถ้าแก่ที่ชักชวนมางานเปิดตัววันนี้
“เด็กน้อย ข้าขอบใจเจ้ามากที่จัดงานวันนี้ขึ้นมา ข้ามีความสุขและผ่อนคลายยิ่งนัก” ท่านเจ้าเมืองหวงถึงกับมอบชุดฝนหมึกอย่างดีให้เป็นของขวัญจางอี้หมิง พลางเอ่ยกำชับอีกครั้งก่อนจากไป
“เป็นเด็กต้องหมั่นศึกษาเล่าเรียนให้มาก”
“ขอรับ” เด็กน้อยตอบรับพร้อมหยิบชุดฝนหมึกมา
“หมิงหมิงน้อย ปู่ขอบใจเจ้ามาก เพราะได้เจ้าวางแผนการจัดงานแบบนี้ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน ไม่นึกว่าท่านอ๋อง ท่านเจ้าเมืองจะชื่นชอบการจัดงานในวันนี้เป็นอย่างมาก เจ้ารู้หรือไม่ ท่านอ๋องต้องการให้ทางเหลาซิ่งฝูส่งอาหารทั้งชุดไปให้จวนท่านอ๋องทุกเจ็ดวัน เหลาซิ่งฝูเป็นหนี้เจ้าแล้ว” หลินไห่เอ่ยชมหลานบุญธรรมด้วยความรักทั้งหมดที่มี
“หามิได้ขอรับ หากเหลาซิ่งฝูขายดี ข้าก็มีรายได้ไปด้วย ข้าเป็นหลานท่านปู่นี่ขอรับ ข้าต้องทำเพื่อเหลาซิ่งฝูอยู่แล้ว” จางอี้หมิงเงยหน้าตอบด้วยดวงตาสดใสพลางยิ้มแย้มให้ชายชราตรงหน้า
ตู้จินเหมยมอบชุดและเครื่องประดับให้เป็นของขวัญกับครอบครัวจางอยู่หลายชิ้น ถือเป็นของตอบแทนที่ทำให้การเปิดตัวรายการอาหารในวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งยังสร้างชื่อเสียงแก่เหลาอาหารซิ่งฝูอีกด้วย
วันนี้ครอบครัวสกุลจางเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านหลัวถงโดยรถม้าของเหลาซิ่งฝู มีซีฮันเป็นคนขับรถม้าเนื่องจากพวกเขาตัดสินใจให้รถม้าของจวนอ๋องกลับไปก่อน เมื่อบ้านเสร็จแล้วค่อยกลับมาที่หมู่บ้านหลัวถง
เมื่อมาถึง จางอี้เทาและจางอี้หมิงรีบเดินไปดูการก่อสร้าง พวกเขาดีใจเมื่อบ้านที่เห็นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างจนเห็นโครงสร้างบ้านบ้างแล้ว
ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน จางอี้หมิงหัวใจฟูฟ่อง เขาต้องการเพียงเท่านี้ ในตอนนี้ เด็กน้อยต้องการแค่ความสุขเช่นในวันนี้ตลอดไป เขาไม่ต้องการความร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ต้องการอำนาจและชื่อเสียง ขออยู่อย่างพอเพียงและมีความสุขเท่านั้น
จางอี้หมิงมองรอบตัว นี่คือสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดแล้ว...
แต่เหมือนเด็กน้อยจะยังไม่รู้ถึงความต้องการของท่านเทพที่ชอบกล่าวอ้าง ลิขิตสวรรค์กำหนดมาแล้วมิอาจหลีกเลี่ยง ใครจะรู้ว่าเด็กชายที่กำลังยิ้มแป้นในวันนี้ จะมีชะตาที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า
บางที...เด็กคนนี้ก็ช่างไม่รู้อะไรเลย
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?