ตอนที่ 54 ได้เวลาปลดปล่อยความจน

ผ่านไปเจ็ดวันแล้วนับตั้งแต่ครอบครัวจางกลับมาจากการซื้อของเข้าบ้านใหม่ ตอนนี้พวกเขาย้ายออกจากกระท่อมมาอยู่ในเรือนไม้สวยงาม ไม่ต้องทนอุดอู้อยู่แบบเดิม จำนวนเงินที่ได้มาจากค่าส่วนแบ่งของเหลาอาหารซิ่งฝูสามารถซื้อเสบียงอาหารได้มากมายเต็มห้องเก็บอาหาร รวมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ และเมล็ดผักที่จางอี้หมิงจะทดลองปลูกในตอนฤดูหนาวด้วย   

ในส่วนของเนื้อสัตว์ต่าง ๆ สมาชิกในครอบครัวช่วยกันจัดทำไว้จนเสร็จเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อรมควัน ปลารมควันตากแห้งและเนื้อหมักเกลือ ถือได้ว่าทุกคนพอใจกับเสบียงในครั้งนี้เป็นอย่างมาก

“ท่านย่าขอรับ บ้านสกุลจางสมควรจัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองการมีบ้านใหม่หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามท่านย่าในเช้าวันหนึ่ง เมื่อทุกคนออกมานั่งรับแดดอุ่น ๆ อยู่ตรงหน้าบ้านหลังใหม่ด้วยกัน

“พ่อว่าอย่าเลยหมิงเอ๋อร์ ชาวบ้านอาจจะไม่พอใจได้ตามที่เจ้าเคยบอกไว้” จางอี้เทาเอ่ยคัดค้าน

“ท่านพ่อ แต่บ้านเราก็เป็นแบบธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไปนะขอรับ” 

“แต่ชาวบ้านต่างก็รับรู้ว่าหนิงอ๋องออกค่าสร้างบ้านให้กับบ้านของเรา ควันไฟปิดยังไงก็ไม่มิดหรอกนะ” จางอี้เทาเอ่ยอีกครั้ง

“ข้าว่าลองทำอาหารแจกให้ชาวบ้านเพื่อเป็นการฉลอง แบบนี้ทำได้หรือไม่เจ้าคะ” หลี่อ้ายออกความคิดเห็นบ้าง

“แม่เห็นด้วยนะลูกสะใภ้ ชาวบ้านน่าจะยินดีรับของแจก เหตุใดพวกเราไม่ช่วยกันทำแล้วนำไปแจกในวันที่ลูกสะใภ้ไปตรวจเกลือผักในครั้งต่อไปเล่า” นางหูเสนอ

“เป็นความคิดที่ดีมากเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ข้อสรุป ทุกคนในครอบครัวจึงช่วยกันทำอาหารเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในการประชุมการตรวจสอบคุณภาพเกลือผัก พวกเขาต่างขอบคุณบ้านสกุลจางที่ไม่ว่าจะทำอันใดต่างก็เห็นความสำคัญของชาวบ้านหลัวถงด้วยเสมอ

วันเวลาผันผ่านไปจนครบกำหนดสองเดือน วันนี้เป็นวันที่บ้านซุนต้องส่งหัวเชื้อน้ำตาลผักให้กับกองกำลังเหลียงอัน รวมทั้งเกลือผักด้วย

ถึงแม้ว่าแต่ละบ้านจะมีรายได้มากน้อยไม่เท่ากันตามกำลังของแต่ละครอบครัวที่ทำได้ ถึงอย่างนั้น ชาวบ้านหลัวถงก็พากันน้ำตาซึมทุกครัวเรือนเมื่อได้รับเงินค่าเกลือผักทั้งหมด เงินจำนวนมากมายเช่นนี้ต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะเก็บรวบรวมได้ แม้แต่ครอบครัวของหลวนซานเองก็เป็นหนึ่งในครอบครัวที่มีความสุขจากรายได้ พวกเขาได้รับการสอนวิธีการทำเกลือผักที่ถูกต้องด้วย

บ้านซุนเป็นบ้านที่ร่ำรวยที่สุดในการค้าเกลือผักและน้ำตาลผักในครั้งนี้ เนื่องจากบ้านซุนมีรายได้ถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง ปันส่วนแบ่งค่าสูตรให้บ้านสกุลจางยี่สิบตำลึงทอง และหักเป็นเงินค่าส่วนกลางสิบ ตำลึงทอง กระนั้น พวกเขาก็ยังเหลือเงินอีกเจ็ดสิบตำลึงทอง เมื่อหักค่าวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นดอกเก็กฮวยแห้งหรือเครื่องเทศต่าง ๆ รวมทั้งฟืนแล้ว ซึ่งก็เพียงสิบตำลึงทอง เบ็ดเสร็จแล้วบ้านสกุลซุนจึงมีรายได้ภายในสองเดือนนี้มากถึงหกสิบตำลึงทอง

ซุนถงถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อได้รับตั๋วเงินจากร้านจินฟู่ เงินจำนวนนี้ต่อให้ทำงานไปตลอดทั้งชีวิตก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาหาได้มากเช่นนี้หรือไม่ ในเมื่อสกุลจางให้โอกาสสกุลซุน ส่งต่อความดีให้กับครอบครัวเขาโดยไม่เกี่ยงงอน ซุนถงจึงไม่หักเงินจำนวนสองอีแปะที่ชาวบ้านต้องจ่ายให้บ้านจางและอีกหนึ่งอีแปะที่ต้องจ่ายเข้าส่วนกลาง 

ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน ซุนถงนำเงินอีกสิบตำลึงทองมอบให้เป็นเงินกองกลางของหมู่บ้านด้วย ยิ่งทำให้ชาวบ้านเคารพและรักในตัวหัวหน้าหมู่บ้านมากขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่าตัว 

“พวกเจ้าจะมาขอบคุณและยกย่องข้าไม่ได้ พวกเจ้าสมควรขอบคุณครอบครัวจางถึงจะถูกต้อง ถ้าไม่มีครอบครัวจาง พวกเราก็คงไม่สามารถมีเงินทองมากมายเช่นนี้” ซุนถงบอกกับชาวบ้านทุกคนที่มารวมตัวกันในวันนี้เพื่อรับเงินงวดสุดท้าย

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เช่นนั้นหลังปีใหม่ เมื่อผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้ว พวกเรามาสร้างสถานศึกษากันเถอะ เงินทองมีมากมาย คงเพียงพอที่จะจ้างอาจารย์จากในเมืองมาสอนเด็ก ๆ ในหมู่บ้านได้แล้ว” ชายคนหนึ่งกล่าว

“ได้ ๆ ข้าเห็นด้วย ข้าก็อยากให้เย่เอ๋อร์กับลี่เอ๋อร์ได้เรียนหนังสือเช่นกัน” ซุนถงเห็นด้วย

หลังจากที่กลุ่มการค้าหลัวถงเสร็จสิ้นการจ่ายเงินจนครบทุกครอบครัวแล้ว จางอี้เทาเห็นว่าชาวบ้านกลับกันไปหมด เขาจูงมือบุตรชายเข้าไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน หลังจากนั่งลงเรียบร้อย ซุนถงจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“อาเทา ข้าขอขอบใจครอบครัวสกุลจางของเจ้าด้วย หากไม่ได้พวกเจ้ามอบสูตรหัวเชื้อน้ำตาลผักให้ บ้านข้าก็ไม่รู้จะมีโอกาสมีเงินมากมายถึงเพียงนี้หรือไม่” 

“ท่านลุงถงอย่าได้กล่าวเช่นนี้เลยขอรับ ข้ากับหมิงเอ๋อร์ยังไม่กลับบ้านเพียงเพราะมีเรื่องที่ต้องการปรึกษาท่านลุงขอรับ” จางอี้เทาตอบ

ตั้งแต่ครอบครัวจางมอบสูตรหัวเชื้อน้ำตาลผักให้กับครอบครัวสกุลซุน ซุนถงก็ให้สกุลจางเรียกตนเองว่าท่านปู่ถงหรือท่านลุงถงแล้ว เพราะบ้านซุนนับบ้านจางเป็นเสมือนญาติที่สนิทกันไปแล้ว

“พวกเจ้ามีเรื่องอันใดเช่นนั้นหรือ” ซุนซูเย่ที่เข้ามาร่วมวงสนทนาเอ่ยถามขึ้น

“หมิงเอ๋อร์ฝันร้ายขอรับ ฝันว่ามีคนตายมากมายในฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ ท้องฟ้ามืดไปหมด มีแต่ศพ ไม่มีไฟ ไม่มีอาหาร หมิงเอ๋อร์กลัวมาก จึงอยากปรึกษาเรื่องนี้กับท่านลุงถงขอรับ” จางอี้เทาเป็นฝ่ายเล่าสาเหตุที่บ้านจางมาปรึกษาหัวหน้าหมู่บ้านในวันนี้

“ท่านปู่ถง ท่านลุงเย่ มันน่ากลัวมากเลยนะขอรับ ข้าพยายามหาท่านพ่อ ท่านแม่ กับท่านย่า แต่ไม่เจอใครสักคน ข้ากลัวว่ามันจะเป็นลางร้าย” จางอี้หมิงเล่าความฝันด้วยความหวาดกลัว ภาพในฝันยังติดตาเขาไม่หาย เด็กน้อยมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในฤดูหนาวที่จะถึงนี้

ในนิยายที่เขาเคยอ่านมาตลอด ทำไมจะไม่มีฉากหรือเหตุการณ์นี้ เขาชักสงสัยว่าการที่เขามาเกิดใหม่นี้เป็นฝีมือของใครบางคนหรือเปล่า เป็นความผิดพลาดของสิ่งที่มีอำนาจบางตนที่ทำให้เกิดขึ้นหรือไม่ แต่ในเมื่อหาคำตอบไม่ได้ สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้คือการป้องกันเท่านั้น

“หมิงเอ๋อร์ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นลางร้ายจริง แต่เราไม่สามารถไปบอกชาวบ้านได้ว่าให้เตรียมตัวรับมือ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านอาจจะหาว่าเจ้ามีภูตผีปีศาจเข้าสิงก็เป็นได้” ซุนซูเย่ออกความเห็น

“ถ้าหากเราเตือนชาวบ้านไปแล้วไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ชาวบ้านก็จะไม่เคารพในคำพูดของข้าหรอกหรือ” ซุนถงเอ่ยขึ้นบ้าง

“นั่นสิหมิงเอ๋อร์ ที่ท่านปู่ถงและท่านลุงเย่เอ่ยออกมาต่างก็มีเหตุผล พ่อก็เห็นด้วย หรือเป็นเพราะเจ้าคิดมากไปหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถามอีกครั้ง

“ท่านพ่อ ข้าก็อยากให้มันเป็นเพียงแค่ว่าข้าคิดมากไป แต่ว่ามันติดอยู่ตรงนี้ ท่านพ่อ ติดอยู่ในหัวข้าตลอดเวลามาเดือนกว่าแล้ว ตัดยังไงก็ตัดไม่ออก” จางอี้หมิงตอบบิดาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ถ้าสลัดความคิดนี้ออกไปได้ เขาก็คงไม่คิดมากถึงขนาดนี้ เขาเชื่อว่ามันอาจจะเป็นลางร้าย

“เช่นนั้นพ่อว่าเราก็แจ้งให้ท่านปู่ถงรับเรื่องไว้ แล้วพวกเราก็ค่อยคิดหาทางอีกทีว่าจะทำเช่นไร ดีหรือไม่ ยังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะถึงฤดูหนาว วันนี้พวกเรากลับบ้านไปก่อน” จางอี้เทาเอ่ยเตือนบุตรชาย

“ก็ได้ขอรับ เช่นนี้ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” จางอี้หมิงพักเรื่องความฝันไว้ก่อน เขาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจำยอม

 จริงอย่างที่ท่านพ่อบอก ยังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือน 

ซุนถงเอ่ยปลอบใจเด็กชาย ชายชรารับเรื่องเอาไว้พร้อมรับปากว่าจะคอยเฝ้าระวัง ทำให้อี้หมิงเบาใจมากขึ้น เขาบอกลาบ้านซุนและเดินกลับบ้านไปพร้อมท่านพ่อ

เมื่อสองพ่อลูกสกุลจางกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นหลี่อ้ายนั่งเขียนแบบผ้าปักไว้บนกระดาษอย่างสวยงาม ส่วนนางหูนั่งเอนหลังพักผ่อนอยู่บนตั่งไม้หรูหราสีดำมันวาว บุด้วยผ้าอย่างดี

“ท่านย่า ข้ากลับมาแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเดินไปนั่งกอดแขนท่านย่าและออดอ้อนอย่างน่ารัก

“ท่านแม่ น้องหญิง ข้ากลับมาแล้ว” จางอี้เทาเอ่ยบอกมารดาและภรรยาเสียงหวาน

“อาเทา เจ้าไปถามอาห้าวเรื่องฟืนแล้วได้คำตอบเช่นไร” นางหูเอ่ยถามบุตรชาย เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวได้ตกลงกันจะว่าจ้างอาห้าวให้ไปเก็บฟืนมาขายแก่บ้านสกุลจางเพื่อเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาวที่จะถึงนี้ และหลังจากวันที่ไปดูต้นหญ้าหวาน พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีให้แก่กันมาโดยตลอด

ในส่วนของการปลูกผักที่ต้องใช้ฟืนจำนวนมากนั้น สองหมิงรับอาสาทำหน้าที่นี้เอง ท่านอาจารย์เทียนอี้จะเริ่มมาศึกษาการปลูกผักเมื่อฤดูหนาวมาถึงแล้ว ตอนนี้จึงมีเพียงสองหมิงที่อาศัยอยู่กับสกุลจาง

“อาห้าวตกลงขอรับ จะเริ่มทยอยเอาฟืนมาส่งได้ในอีกสามวันข้างหน้า” อี้เทาตอบคำถามมารดา เสร็จแล้วจึงหันไปถามภรรยาต่อเสียงหวาน “น้องหญิง การสอนปักผ้าไปถึงไหนแล้ว”

“ท่านพี่ ข้าเตรียมแบบผ้าปักใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มสอนแล้ว ข้าเลือกแบบง่าย ๆ ไปก่อน อย่างน้อยเอาเก็บไว้ใช้หรือทำเป็นของขวัญให้กับคนในครอบครัวในวันขึ้นปีใหม่ก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายตอบคำถามของสามีด้วยเสียงหวานไม่แพ้กัน

จางอี้หมิงถึงกับยิ้มกริ่ม ตั้งแต่เขาบอกว่าอยากมีน้อง ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต่างก็แสดงความรักค่อกันอย่างออกนอกหน้านอกตามากขึ้น เล่นเอาเด็กน้อยพอใจยกใหญ่

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขของครอบครัวสกุลจาง ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถง พวกเขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องใด ๆ อีกทั้งยังมีบ้านที่แข็งแรง ต่อให้หิมะตกหนักเพียงไหน หลังคาบ้านก็ไม่ยุบลงมา มีเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่มกันหนาวพร้อมพรั่ง มีรถม้าที่ได้รับจากหนิงอ๋อง ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ และที่สำคัญ ครอบครัวจางยังเป็นที่รักของชาวบ้านอีกด้วย ชีวิตสงบสุขเช่นนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ในเมืองหลวง พวกเขาคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจตั้งรกรากใหม่ที่หมู่บ้านนี้

หลี่อ้ายยังคงยุ่งอยู่กับการสอนผู้หญิงในหมู่บ้านให้ปักผ้า ส่วนจางอี้เทายุ่งอยู่กับการจัดขั้นตอนการทำงานของกลุ่มการค้าหลัวถง เขาประกาศรับอาสาสมัครเพื่อมาช่วยงาน

ในการทำงานของกลุ่มการค้า บัณฑิตหนุ่มจำเป็นต้องช่วยสอนในเรื่องของการทำบัญชีต่าง ๆ ซึ่งตัวเขาได้รับการสอนมาจากบุตรชายอีกที เป็นการนับเลขโดยที่ใช้ตัวเลขอารบิค จึงไม่จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้

นางหูมักจะไปยังบ้านเรือนต่าง ๆ เพื่อช่วยสอนการทำอาหารหลากชนิดให้กับชาวบ้านตามที่หลานชายได้สอนนางมา เป็นการทำอาหารง่าย ๆ ที่รสเลิศชั้นหนึ่ง

จางอี้หมิงจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ว่างที่สุด วันนี้เขาจึงนัดพี่ซุนลี่กับพี่หมิงเย่เพื่อกลับไปดูหอยหินที่ครั้งนั้นยังไม่ได้ข้อสรุป เด็กน้อยเดินไปตามทางอย่างเริงร่าหลังจากที่โดนท่านพ่อกักตัวไว้เสียหลายวัน

วันนี้ต้องเห็นหอยหินให้ได้!

 อีกฝากหนึ่งของเมืองไห่ถัง  ณ ห้องทำงานในจวนหนิงอ๋อง  การเดินทางกลับไปครั้งนี้ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถหาซื้อเสบียงอาหารได้ครบตามจำนวนที่ต้องการและยังได้เกลือผักและน้ำตาลผักที่จะสามารถกลายเป็นชาผักสำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึง นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่คิด

แต่ว่าสิ่งที่ประชาชนแคว้นเหลียงต้องการคือการผลิตอาหารได้เองในแคว้น เขาได้แต่หวังว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูหนาวนี้ เด็กน้อยคนนั้นจะสามารถปลูกผักได้สำเร็จดังว่า

“ท่านอาจารย์ อย่าลืมจดบันทึกทุกอย่างที่เด็กน้อยคนนั้นทำ ข้าต้องการให้ท่านอาจารย์ตามติดชีวิตเด็กน้อยคนนั้นอย่าให้คลาดสายตา หากเขาสามารถปลูกผักได้สำเร็จ ข้าจะทำเรื่องพาเด็กน้อยไปที่แคว้นเหลียงสักครั้ง บางทีการได้เห็นสภาพบ้านเมืองที่แท้จริงอาจจะหาทางออกให้กับแคว้นเหลียงได้มากกว่าการปลูกผักก็เป็นได้” หนิงอ๋องรับสั่งให้เทียนอี้ทราบถึงความต้องการ

“ท่านอ๋อง อย่าได้เป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจดจำไว้แล้ว ท่านอ๋องก็เช่นกัน เดินทางกลับไปในครั้งนี้คงมีสิ่งที่ต้องระวังอีกมาก” เทียนอี้ยกมือรับคำสั่งด้วยความยินดี

“ข้าก็หวังว่าจะไม่มีสิ่งใดร้ายแรงรออยู่ที่แคว้นเหลียง”

“ข้าได้สั่งให้ทำการบรรทุกเกลือผักและน้ำตาลผักไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เกินสามวัน ท่านอ๋องสามารถเดินทางได้พ่ะย่ะค่ะ” เทียนอี้เอ่ยรายงานอีกครั้ง

“ท่านอาจารย์คิดว่าข้าสมควรเรียกเด็กคนนั้นมาพบก่อนเดินทางกลับแคว้นเหลียงหรือไม่”

“ข้าคิดว่าไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ เพราะข้าไม่อยากให้จางอี้หมิงคิดว่าพระองค์กดดันมากเกินไป ถึงจะดูเป็นคนที่ฉลาดมากแค่ไหน ทว่าอย่างไรเด็กนั่นก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ข้าดูแล้วเขาไม่ชอบการบังคับสักเท่าไร ถ้าหากจะขอความช่วยเหลือ คงต้องใช้ใจในการแลกเปลี่ยนเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” เทียนอี้ออกความเห็นตามที่ตนรู้สึกและสัมผัสได้

“อืม ข้าเห็นด้วยกับท่านอาจารย์ เช่นนั้นฝากทางนี้ด้วยนะ ข้าจะรีบกลับมาทันทีเมื่อพ้นฤดูหนาว” หนิงอ๋องตอบรับแล้วจึงโบกมือให้อาจารย์คนสนิทออกจากห้องไป

เขานั่งมองกระดาษในมือแล้ววางลง ท่านอ๋องถอนพระปัสสาสะ แล้วหลับตาลง นึกถึงประชาชนแคว้นเหลียง นึกถึงความหนาวเหน็บที่ปลูกสิ่งใดก็ไม่ขึ้น มันคงจะดีไม่น้อยหากวันหนึ่งแคว้นของเขาจะสามารถเพาะปลูกได้ แม้จะดูเป็นความหวังที่เลือนราง ทว่ากลับมีแสงสว่างเล็ก ๆ ถูกจุดขึ้นมาแล้ว

เด็กน้อย...อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ