ตอนที่ 45 ประทานรางวัล

เดินตามมาได้ไม่นานก็ถึงห้องทำงานของจวนอ๋อง จางอี้หมิงถึงกับอึ้งให้กับความขลังและบรรยากาศของห้องนี้ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา ตู้หนังสือถูกจัดวางด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภาพวาดต่าง ๆ ที่เขามองไม่ออกและไม่เข้าใจแขวนประดับไว้ตามเสา มีเก้าอี้และโต๊ะสำหรับวางชาจัดวางเป็นชุด ๆ ตามทางไปจนถึงที่นั่งของเจ้าของจวน 

หนิงอ๋องเดินตรงไปนั่งลงที่เก้าอี้และโต๊ะประจำตำแหน่งของตน อู๋เจ๋อ อู๋หมินและจางอี้หมิงเดินไปหยุดอยู่ตรงข้างหน้าโต๊ะทำงานอย่างประหม่า พวกเขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะโดนตำหนิมากน้อยเพียงใด

ไม่นานเถ้าแก่หวัง จางอี้เทาและหลี่อ้ายจึงเดินตามทหารเข้ามาหยุดอยู่ข้างคนของเหลาซิ่งฝูที่ยืนอยู่ก่อนหน้าแล้ว

“คารวะท่านอ๋อง” 

“ตามสบาย พวกเจ้าก็ไปนั่งเถอะ พวกเราคงต้องคุยกันอีกนาน”

เมื่อได้ยินท่านอ๋องเอ่ยอนุญาตเช่นนั้น เถ้าแก่หวังจึงเป็นคนแรกที่เดินไปนั่งใกล้กับที่ประทับ ถัดมาเป็นจางอี้เทา จางอี้หมิง หลี่อ้าย อู๋เจ๋อ และอู๋หมินตามลำดับ

“เด็กน้อย บอกข้ามาได้หรือไม่เหตุใดเจ้าถึงรู้วิธีการช่วยเหลือท่านอาจารย์” หนิงอ๋องถามอย่างใคร่รู้

วิธีนั้นช่างดูแปลกตาและไม่เคยพบเห็น แม้แต่เหล่าหมอหลวงก็ยังไม่เคยทำ

“ขออภัยขอรับท่านอ๋อง บุตรชายของข้าน้อยได้ทำการอันใดที่เป็นการลบหลู่พระเกียรติท่านอ๋องหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทามีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินท่านอ๋องเอ่ยถามบุตรชายตนเองเช่นนั้น

“เจ้าของเป็นบิดาของเด็กคนนี้ใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วขอรับ เขาเป็นบุตรชายของข้าเองขอรับ”

“เจ้าช่างเลี้ยงบุตรชายได้ดียิ่ง เป็นเด็กที่กล้าหาญ พูดจาฉะฉาน มีสติและอ่อนน้อมในคราวเดียว” หนิงอ๋องเอ่ยชมเด็กน้อยตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเอื้ออารีย์ “เด็กน้อย เจ้าชื่อจางอี้หมิงใช่หรือไม่”

“ขอรับ ข้าชื่อจางอี้หมิง”

“เจ้ายังมิได้ตอบคำถามของข้า เหตุใดเจ้าจึงรู้วิธีการรักษาท่านอาจารย์ ข้าหรือทหารทั้งหลายยังมิรู้วิธีการรักษาเช่นเจ้า”

“เอ้อ..ข้า..ข้า” 

จางอี้หมิงถึงกับหาคำมาตอบไม่ได้ จะให้เขาบอกไปได้เช่นไรว่าวิธีการนี้มาจากประสบการณ์เฉียดตายของตนเอง ครั้งที่เป็นอานนท์ตัวเขาเคยอาหารติดคอ ทรมานแทบตายถึงขนาดว่ายังจำความรู้สึกนั้นได้แม่น โชคดีที่เพื่อนของเขารู้จักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น จึงช่วยให้เขารอดมาได้ทันท่วงที

หลังจากที่หายดี อานนท์จึงกลายเป็นกรณีศึกษา อาจารย์จับนักเรียนในชั้นฝึกการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการผายปอด การช่วยคนอาหารติดคอ การรักษาเบื้องต้นหากโดนน้ำร้อนลวก การช่วยคนที่โดนไฟฟ้าช็อต การถูกงูกัด และอีกมากมายจิปาถะ ทำเอาเพื่อนในชั้นโอดครวญไปราวสองอาทิตย์เพราะต้องทำการสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

“ข้ารอฟังอยู่”

“ข้าเคยเห็นคนที่เหลาอาหารในเมืองหลวงอาหารติดคอแล้วมีพี่ชายคนหนึ่งทำวิธีนี้ขอรับ”

แถไปก่อนแล้วกัน...

“แล้วเจ้าก็จำมาเช่นนั้นหรือ” 

“ขอรับ” จางอี้หมิงตอบพร้อมยิ้มสู้

ท่านอ๋องไม่กล่าวสิ่งใด จ้องมองมาและเพียงแค่แย้มพระสรวลอย่างพึงพอใจเท่านั้น

เป็นอันว่าชื่นชมแหละมั้ง... เฮ้อ! เกือบไม่รอด

“จางอี้หมิง เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าวันนี้เจ้ามีความผิดอันใด” หนิงอ๋องเอ่ยถามต่อเสียงดังจนทำให้เด็กน้อยถึงกับสะดุ้ง

 ตกลงท่านอ๋องจะชมหรือกำลังตำหนิเขาอยู่กันแน่

“ท่านอ๋อง ขออย่าได้ลงโทษบุตรชายของข้าเลยขอรับ หากต้องได้รับโทษอันใด ข้าขอรับโทษแทนขอรับ” 

“ข้าก็ขอรับโทษแทนบุตรชายเจ้าค่ะ” 

จางอี้เทาและหลี่อ้ายเมื่อเห็นท่านอ๋องแสดงท่าทางโกรธเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้นไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงทางเดิน ปกป้องไม่ให้หนิงอ๋องทำอันใดกับลูกชายตน

“พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่ ข้ากำลังสั่งสอนเด็กน้อยตรงหน้าและอย่าได้เข้ามาสอดแทรก” หนิงอ๋องโบกมือหนึ่งครั้ง สองสามีภรรยาจึงลุกกลับไปนั่งที่เดิมด้วยความหวั่นเกรง

หากขัดคำสั่งจนทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจ คาดว่าโทษจะร้ายแรงกว่าเดิมเท่าตัว ดังนั้นจางอี้เทาจึงต้องจำใจลุกขึ้นนำภรรยากลับไปนั่งที่

จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นจึงได้ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระที่นั่งของท่านอ๋อง เอาเถอะ หากบอกว่าจะสอนก็แค่สอนนะท่าน อย่ามากลับคำแล้วลงโทษเขาทีหลังเชียว ใจหายหมดแล้ว

“ขอท่านอ๋องสั่งสอนขอรับ”

“เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย อายุน้อยกว่าอ๋องน้อยบุตรชายของเราหลายปี ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าต้องประเมินกำลังของตนเองด้วย ในวันนี้หากคนที่อยู่ในห้องอาหารมิใช่ข้าแต่เป็นองค์ชาย ท่านอ๋อง เชื้อพระวงศ์ หรือแม้แต่ผู้ที่มีศักดิ์ฐานะสูงกว่าเจ้ามากมาย เจ้าคงไม่มีโอกาสได้มานั่งอยู่ตรงนี้ หัวของเจ้าคงไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าแล้ว”

“หากข้าไม่ช่วยท่านอาจารย์ เห็นทีท่านอาจารย์คงจะ....” จางอี้หมิงเอ่ยละไว้ไม่กล่าวจนจบแต่ทุกคนก็พอเข้าใจได้

“แล้วเจ้าได้คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายไว้หรือไม่หากเจ้าช่วยท่านอาจารย์ไม่ทัน เพียงแค่การเห็นแล้วลักจำวิธีมาใช้นั่นเป็นสิ่งที่คนฉลาดทำกันเช่นนั้นหรือ หากเกิดเหตุทำให้ท่านอาจารย์อาการหนักมากกว่าเดิม โทษนั้นจะตกมาอยู่กับตัวเจ้า ทั้งที่ในคราแรกความผิดนั้นอาจจะไม่ได้เกิดมาจากเจ้าแม้แต่น้อย เจ้ายังทำให้คนอื่นที่ช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้พลอยติดร่างแหไปอีกด้วย ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่ดี อยากช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี หากเจ้าต้องประเมินตนเองด้วย ข้าพูดเช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่” 

“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ”

“เจ้าลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่ได้ ความผิดได้แจ้งไปแล้วถึงเวลาความชอบบ้าง ในเมื่อเจ้าได้ช่วยชีวิตท่านอาจารย์ของเราไว้ รวมทั้งได้ทำหุบเขาเดียวดายให้ข้าได้ลิ้มรส เช่นนั้นข้าขอมอบรางวัลให้กับความกล้าหาญของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทนจงบอกมา” 

“ข้าน้อยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนขอรับ มีเพียงเจตนาบริสุทธิ์ที่จะช่วยท่านอาจารย์เท่านั้น”

“ข้าหนิงอ๋อง มิเคยต้องติดหนี้บุญคุณของผู้ใด เจ้าจงเอ่ยมา ข้ายินดีมอบให้ทุกอย่างในสิ่งที่ข้าสามารถให้เจ้าได้”

“เช่นนั้น ข้าขอคำสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือครอบครัวข้าน้อยเป็นจำนวนหนึ่งครั้งและความช่วยเหลือนั้นจะเป็นสิ่งที่ท่านอ๋องสามารถให้ได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยความต้องการออกไปอย่างอ้อนน้อมแต่ก็ชัดเจน ทำให้หนิงอ๋องถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮะ ฮะ ฮะ ข้าไม่แปลกใจที่เจ้าขอสิ่งตอบแทนเป็นสิ่งนี้ จางอี้เทา เจ้าช่างสอนบุตรชายได้ดียิ่ง เหตุใดถึงได้เจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็กเช่นนี้ ข้าชักอยากรู้จักเจ้าให้มากขึ้นเสียแล้ว เจ้าใช่ชาวบ้านธรรมดาแห่งหมู่บ้านหลัวถงจริง ๆ เช่นนั้นหรือ” 

“เรียนท่านอ๋อง ข้าน้อยและครอบครัวเคยอาศัยที่เมืองหลวงก่อนที่จะย้ายมายังหมู่บ้านหลัวถง ตัวข้านั้นเคยเป็นอาจารย์สอนในสำนักศึกษาที่เมืองหลวงมาก่อนขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยตอบด้วยความสุขุมสมเป็นบัณฑิต

“โอ้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนี่เอง เด็กน้อย มานี่สิ” หนิงอ๋องกวักมือเรียกจางอี้หมิงให้ลุกไปหาที่โต๊ะทำงานแล้วจึงหยิบของบางสิ่งประทานให้

“ข้าให้เจ้า สิ่งนี้เป็นหยกประจำตัวข้า หากเจ้าต้องการความช่วยเหลืออันใดก็ตาม เจ้าสามารถส่งข่าวหาข้าได้ เก็บรักษาไว้ให้ดีเล่า”

หนิงอ๋องวางหยกสีเขียวมีตัวอักษรหนิงติดอยู่วางลงบนมือน้อยๆ ของเด็กชายตัวน้อย หยกสีมรกตสวยสด มองอย่างไรก็มีมูลค่ายิ่งสมกับที่เป็นของประทานจากท่านอ๋องแคว้นเหลียง

ที่อี้หมิงลองเอ่ยขอรางวัลเป็นความช่วยเหลือจากหนิงอ๋อง ก็เพราะในนิยายที่เขาเคยอ่านมาจากชาติที่แล้วทำให้เขาจำได้ว่าหนี้ที่ช่วยชีวิตเทียบเท่าขุนเขา ชดใช้เช่นไรก็ไม่มีวันหมด คนโบราณยึดถือเรื่องบุญคุณยิ่งกว่าชีวิต เขาจึงลองเอ่ยขอดู ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะให้ตามที่ขอด้วย

“ขอบคุณขอรับ” จางอี้หมิงโค้งตัวและเดินกลับมานั่งประจำที่เช่นเดิม

“ครานี้ไม่มีเรื่องอันใดที่น่าตื่นเต้นแล้ว เช่นนั้นก็มาคุยกันถึงเรื่องน้ำตาลผักและเกลือผักกันเถอะ”

เมื่อหมดเรื่องพิเศษ หนิงอ๋องจึงได้เริ่มต้นคุยถึงกำหนดส่งน้ำตาลผัก รวมถึงสั่งซื้อเกลือผักอีกจำนวนหนึ่งแสนห่อเท่ากับน้ำตาลผัก 

ทว่าจางอี้หมิงก็แจ้งว่าอาจจะทำให้ไม่ทันและขอไม่รับปากเรื่องจำนวนของเกลือผัก แต่กลุ่มการค้าหลัวถงจะผลิตน้ำตาลผักส่งให้ครบตามกำหนดในอีกสองเดือนข้างหน้าแน่นอน

หลังจากที่ได้ข้อสรุปไม่นาน มีทหารเข้ามาแจ้งว่าท่านอาจารย์ฟื้นแล้วและอาการดีขึ้น เพียงแค่อ่อนเพลียเล็กน้อย ท่านอ๋องจึงได้ชวนจางอี้หมิงไปเยี่ยมท่านอาจารย์ด้วยกัน

“เด็กน้อย ไปเยี่ยมท่านอาจารย์ด้วยกัน ท่านอาจารย์คงอยากขอบใจเจ้า ส่วนพวกเจ้าที่เหลือจงกลับไปรอที่ห้องรับรองเช่นเดิมเถอะ”

เมื่อท่านอ๋องกล่าวจบจึงลุกขึ้นเดินนำหน้าจางอี้หมิงออกนอกห้องไป ปล่อยให้ทหารเข้ามาเชิญบุคคลที่เหลือกลับไปรอเด็กน้อยที่ห้องรับรองตามที่ท่านอ๋องรับสั่ง

หนึ่งท่านอ๋อง หนึ่งเด็กชายเดินไปด้วยกันตามทางเดินโดยไม่มีใครปริปากพูดอันใด หนิงอ๋องพาเด็กน้อยเดินลัดเลาะไปอีกเรือนหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องทำงานนัก เมื่อไปถึงหทารก็เปิดประตูให้ท่านอ๋องเดินเข้าไป

“ท่านอาจารย์ ท่านรู้สึกเป็นเช่นใดบ้าง อาการดีขึ้นแล้วหรือไม่” หนิงอ๋องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ฟื้นคืนสติแล้ว

ทหารรีบนำเก้าอี้มาวางไว้ใกล้เตียงนอนที่ท่านอาจารย์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ตัวหนึ่งให้หนิงอ๋อง ส่วนอีกตัวให้จางอี้หมิง

“ท่านอ๋อง ข้าดีขึ้นแล้วพะยะค่ะ ขอบพระทัยที่ช่วยชีวิตกระหม่อมไว้”

“ท่านอาจารย์ คนที่ช่วยชีวิตท่านอาจารย์หาใช่เราไม่ แต่คือเด็กน้อยจางอี้หมิงที่ยืนอยู่ตรงนี้ต่างหากเล่า” หนิงอ๋องเอ่ยแก้ไขความเข้าใจผิดให้กับชายวัยกลางคนตรงหน้าแล้วผายมือไปยังเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนเอง

“โอ้ เด็กน้อยคนนี้เช่นนั้นหรือพะยะค่ะ ไม่น่าเชื่อ เช่นนั้นข้าขอขอบใจเจ้าในการช่วยชีวิตข้าไว้ในวันนี้ หากมีสิ่งใดที่ข้าสามารถตอบแทนเจ้าได้ขอจงบอกมา ข้าชื่อเทียนอี้ เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์เทียนได้” เทียนอี้เอ่ยขึ้น เขาตกใจเล็กน้อยที่ผู้มีบุญคุณเป็นเพียงเด็กน้อย แต่สิ่งนั้นไม่สำคัญ การทดแทนผู้มีพระคุณต่างหากเล่าที่ควรยึดถือ

“ท่านอาจารย์เทียน ท่านอ๋องได้มอบสิ่งตอบแทนให้กับข้าแล้วขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องตอบแทนข้าอีกขอรับ”

“เช่นนั้นหรอกหรือ แล้วท่านอ๋องทรงตอบแทนเจ้าด้วยอันใดเล่า”

“ท่านอ๋องมอบหยกสีเขียวให้ข้าขอรับ” จางอี้หมิงหยิบหยกสีเขียวที่เพิ่งได้รับจากอ๋องหนุ่มแสดงให้ท่านอาจารย์เทียนได้ดู นั้นถึงกับทำให้เทียนอี้อ้าปากค้างก่อนที่จะกล่าวออกมา

“ท่านอ๋อง หยกนั่นมิใช่ว่า.......” 

“ท่านอาจารย์ มิมีอันใดดอก ท่านอาการดีขึ้นก็ดียิ่งแล้ว” หนิงอ๋องเอ่ยขัดคำพูดของอาจารย์ก่อนที่จะเปิดเผยอะไรไปมากกว่านี้

“ท่านอาจารย์เทียนขอรับ ข้าขอสอบถามอันใดสักอย่างได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงนึกขึ้นได้ว่าตนเองเห็นแผลที่บริเวณหน้าแข้งของชายวัยกลางคน ดูท่าจะยังไม่เก่ามาก

“ได้สิ เจ้าต้องการรู้สิ่งใดหรือ”

“แผลตรงขาของท่านเกิดจากอันใดหรือขอรับ เหตุใดจึงไม่ทำแผลพันผ้าไว้เล่าขอรับ ข้าขออภัยหากว่าได้ละลาบละล้วงท่านอาจารย์มากเกินไป”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ทหารในกองกำลังเหลียงอันต่างรู้กันทั้งนั้น แผลนั้นทำให้ขาเดินกะเผลกอยู่ทุกวันนี้ ในตอนแรกเพียงโดนหินบาดตอนที่ข้าไปอาบน้ำที่ลำธาร แต่ไม่ว่าจะรักษาเช่นใดแผลก็ไม่แห้งและเริ่มลามออกเป็นวงกว้าง ท่านหมอก็สุดที่จะรักษาแล้ว”

เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านอาจารย์เทียนเป็นโรคเบาหวานเวลาที่เกิดแผลถึงหายยาก หากปล่อยไว้เช่นนี้อีกต่อไปขาอาจจะเน่าและลุกลามได้ แต่โรคทั่วไปมันก็มีตั้งมากมายนี่นา จะใช่ตามที่เขาคิดหรือไม่ก็ไม่รู้แต่ลองเสี่ยงถามไปก่อนแล้วกัน 

“ท่านอาจารย์ ช่วงนี้ท่านรู้สึกอ่อนเพลีย กินอาหารเพิ่มมากขึ้น แต่ร่างกายกับผอม คอแห้งทำให้ดื่มน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย ตาลาย คันตามร่างกาย ชาที่ปลายนิ้วเท้า เวลาสัมผัสก็ไม่รู้สึกหรือไม่ขอรับ”

“เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้ ใช่ ข้ามีอาการส่วนมากตามที่เจ้าบอก เจ้ารู้เช่นนั้นหรือว่าข้าป่วยเป็นอันใด หมอของจวนอ๋องเพียงบอกข้าเป็นโรคธาตุลมบกพร่อง” เทียนอี้ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถามของเด็กน้อย เหตุใดถึงรู้ยังกับตาเห็น

“ข้าคิดว่าข้ารู้ว่าท่านอาจารย์ป่วยเป็นอันใด ข้าเห็นมาจากในเมืองหลวงขอรับ ท่านป่วยเป็นโรคเบาหวาน เอ้อ ข้าหมายถึงโรคที่เกี่ยวกับตับ ในเลือดของท่านอาจารย์มีน้ำตาลมากเกินไปขอรับ แผลที่เกิดขึ้นแล้วมิหายเสียทีก็มาจากความเจ็บป่วยของท่านอาจารย์ด้วยเช่นกัน”

จางอี้หมิงแทบจะตบเข่าฉาดถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการเสียมารยาท อาการแทบจะตรงตามกับที่เคยหาข้อมูลมา แม้จะจำได้ไม่ค่อยแม่นนักแต่มันก็ติดหัวมานาน

“โรคนี้ค่อนข้างอันตราย แต่ว่าท่านอาจารย์สามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงลงได้ขอรับ เพียงท่านอาจารย์แบ่งอาหารออกเป็นสี่มื้อต่อวัน มื้อละนิดหน่อยแค่เพียงให้อิ่ม ลดน้ำตาล ชาของท่านอาจารย์ต้องเปลี่ยนมาเป็นชาผัก และ...”

จางอี้หมิงบอกวิธีการปฏิบัติตัวสำหรับอาจารย์เทียนให้ทั้งหมด เขาเล่าตามข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ทำอย่างไรได้ คนอย่างอานนท์ไม่ใช่หมอ เป็นแค่พนักงานขายอาหารตามสั่งเท่านั้น แต่ความรู้เหล่านี้คงพอมีประโยชน์มากกับผู้ที่ไม่รู้ ดังนั้นเขาจึงอธิบายจนชายวัยกลางคนเข้าใจ

“เด็กน้อย ข้าจะเชื่อเจ้าได้เช่นไรว่าคำพูดของเจ้าเป็นจริง” หนิงอ๋องเอ่ยถาม

“ข้ามีข้อพิสูจน์ขอรับ วันนี้รบกวนท่านอาจารย์เทียนปล่อยเบาออกมา ให้ทหารนำไปราดลงบนดินทิ้งไว้หนึ่งคืน รุ่งขึ้นหากมีมดมาตอมน้ำที่ปล่อยเบานั้น ก็หมายความว่าข้าพูดถูกขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายและมองไปยังส่วนกลางลำตัวของท่านอาจารย์เพื่อบ่งบอกให้ทราบว่าปล่อยเบาของเขาหมายถึงอันใด เพราะเขาไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนได้ถูกต้องนั่นเอง

“ได้ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”

“ท่านอาจารย์จงพักผ่อนเถอะ ข้าจะกลับแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่” หนิงอ๋องเอ่ยบอกท่านอาจารย์เทียนอี้แล้วเดินจากมา จางอี้หมิงจึงยกมือคารวะเอ่ยลาและเดินตามท่านอ๋องออกไป

“วันนี้คงหนักหนาสาหัสมากสำหรับเจ้า พวกเจ้าก็กลับบ้านเถิด” หนิงอ๋องเอ่ยเสร็จแล้วจึงแยกตัวเดินกลับห้องทำงานของตนเอง

 จางอี้หมิงเดินไปสมทบกับทุกคนและพากันกลับเข้าไปในตัวเมือง โดยที่อู๋เจ๋อกับอู๋หมินได้เก็บอุปกรณ์ทุกอย่างที่ห้องครัวเอาไปไว้ที่รถม้าเรียบร้อยแล้วไม่ให้เป็นการเสียเวลา

 .

ห้องทำงานของหนิงอ๋องในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากคนในห้องกำลังรอผลของการทดสอบจากคำบอกเล่าของเด็กน้อย ปรากฎร่างของท่านอาจารย์เทียนอี้ซึ่งหายป่วยแล้วเดินวนไปเวียนมาอยู่นาน ท่านอ๋องถึงกับเอ่ยเตือนให้อาจารย์ของตนเองนั่งลงเพราะเขาเวียนหัวเหลือเกิน  ท่านอาจารย์นั่งลงไม่นาน ทหารนายหนึ่งจึงเดินเข้ามาท่าทางกระหืดกระหอบแล้วเอ่ยรายงานตามที่ได้รับมอบหมาย

“มีมดขึ้นตรงที่ข้าน้อยราดน้ำเบาไว้จริงขอรับ” ทหารหนุ่มแจ้งผล เขาค้อมศีรษะและเดินออกไปเมื่อเห็นว่าหมดหน้าที่แล้ว

“เด็กน้อยนั่นไม่ได้โกหก เช่นนั้นที่ท่านอ๋องมอบหยกนั่นให้ไปก็คงเป็นเพราะ...” ท่านอาจารย์เทียนอี้พูดเสียงขาดหายไป เป็นอันรู้กันสองคนถึงประโยคต่อท้ายนั่น

“ถูกแล้วท่านอาจารย์ เด็กคนนี้น่าสนใจ ไม่สิ ครอบครัวนี้น่าสนใจยิ่ง หากอ๋องน้อยได้เพื่อนที่ฉลาดเช่นนี้ ได้จางอี้เทาสั่งสอนเช่นที่เขาได้สอนสั่งบุตรชาย ท่านอาจารย์คิดว่าอ๋องน้อยจะเป็นเช่นไร” หนิงอ๋องเอ่ยแล้วยกยิ้มที่มุมปาก

ใครจะคิดว่าเขาจะเจอช้างเผือกในป่าแห่งนี้ หลายวันมานี้ข้อมูลของเด็กน้อยจางอี้หมิงถูกรายงานเข้ามาเกือบทุกวัน คิดว่าตำแหน่งอ๋องที่ได้รับความไว้วางใจคุมกองกำลังเหลียงอันนี้ ได้มาเพราะโชคช่วยเช่นนั้นหรือ

ยิ่งเขาได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กน้อยทำตั้งแต่การทำการค้าขายกับเถ้าแก่หวัง การพยายามฟื้นฟูเหลาอาหารซิ่งฝู การตั้งกลุ่มการค้าหลัวถง สิ่งเหล่านี้มันเกินที่เด็กอายุเพียงห้าขวบปีจะคิดได้ อ๋องน้อย บุตรชายของเขาอายุสิบปีที่ถือว่าฉลาดและอัจฉริยะ ยังไม่มีความรู้ความสามารถเช่นจางอี้หมิงในตอนนี้ ยิ่งเหตุการณ์เมื่อวานยิ่งทำให้อยากรู้จักเด็กน้อยคนนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก บางทีเด็กคนนี้อาจจะทำให้เขาได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็เป็นได้

ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะซ่อนความสามารถอันใดไว้อีก ชักสนุกมากยิ่งขึ้นแล้วสิ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ