ตอนที่ 87 การเรียกร้องของแคว้นจ้าว

ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หนิงอ๋องได้รับสารจากจางอี้หมิงที่หนึ่งในองครักษ์เหลี่ยงไป๋เป็นผู้นำมามอบให้แก่เขาถึงมือภายในตำหนัก

เมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่าคงเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือคำร้องขอเป็นแน่จึงเปิดอ่านทันที แล้วก็เป็นไปตามคาดข้อความที่ส่งทำให้ท่านอ๋องถึงกับชอบใจและหัวเราะออกมาเสียงดัง แม้แต่อ๋องน้อยหนิงเทียนที่เดินทางมาเข้าเฝ้าพระบิดาเพื่อรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการปลูกผักก็ได้ยินชัดเจน จึงกล่าวเรียกและเคาะประตูส่งสัญญาณออกไป

“เสด็จพ่อ ลูกเองพะย่ะค่ะ”

“อ๋องน้อยหรือ เข้ามาสิ”

ท่านอ๋องเอ่ยอนุญาตให้พระโอรสเข้ามาในห้องทรงงานได้ อ๋องน้อยจึงเปิดประตูเข้าไปก่อนที่จะค้อมศีรษะ ทำความเคารพบิดาตามปกติ

“มีเรื่องอันใดน่ายินดีหรือพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อถึงได้สรวลอย่างพอพระทัยเช่นนี้”

“เอาไปอ่านดูสิ น้องชายของเจ้าส่งมาจากแคว้นฉิน” หนิงอ๋องตอบคำถามพระโอรสและยื่นจดหมายให้

“นี่น้องชายหมิงถึงกับผลิตเกลือได้เชียวหรือ”

อ๋องน้อยหนิงเทียนเงยพักตร์ขึ้นเอ่ยถามหนิงอ๋องด้วยความประหลาดใจ เนื้อความในจดหมายแจ้งเรื่องอาการป่วยของจางอี้หมิงและแผนการที่เด็กน้อยได้วางไว้กับท่านเจ้าเมืองไห่ถังเกี่ยวกับการผลิตเกลือออกขาย

"พ่อมิแปลกใจหากเด็กน้อยนั่นจะผลิตเกลือได้ แต่เจ้าได้อ่านจดหมายท่อนสุดท้ายนั่นหรือไม่ หึหึ ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง” หนิงอ๋องเปรยออกมาเบา ๆ แววตาสั่นระริกบ่งบอกถึงความชอบใจนักหนา

“ข้าปรารถนาจะส่งเกลือให้แคว้นเหลียงได้ไวที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทนการช่วยเหลือในครั้งนี้ แต่ก็จนใจ เพราะการค้าเกลือยังเป็นสิทธิ์ขาดของราชสำนัก ข้ายินดีมอบวิธีการถนอมอาหารให้แคว้นเหลียงหนึ่งรายการ แต่ข้าไม่สามารถบอกได้ในจดหมายฉบับนี้ได้ คงต้องรอให้การค้าเกลือเป็นไปได้อย่างเสรีเสียก่อนถึงจะบอกได้”

“น้องชายหมิงเจ้าเล่ห์เช่นไรหรือพะย่ะค่ะ” อ๋องน้อยหนิงเทียนยังคงสับสนไม่เข้าใจ จดหมายก็มิเห็นมีอันใดผิดปกตินี่

“หมิงเทียนเอ่ย เจ้าต้องเรียนรู้และอ่านการณ์ให้กว้างกว่านี้ ท่อนสุดท้ายนั้นเจ้าเด็กน้อยบอกเป็นนัยมาว่า ‘หากแคว้นเหลียงอยากได้เกลือและวิธีการถนอมอาหารที่เหมาะสมกับแคว้น’ ข้าต้องกดดันให้แคว้นฉินเร่งส่งเครื่องบรรณาการให้แคว้นจ้าว ยิ่งแคว้นฉินส่งบรรณาการให้แคว้นจ้าวไวเท่าไหร่ แคว้นเหลียงก็จะได้สิ่งที่น้องชายเจ้าล่อเหยื่อเอาไว้เร็วเท่านั้นเช่นไรเล่า” หนิงอ๋องอธิบายความเจ้าเล่ห์ของจางอี้หมิงให้บุตรชายได้เข้าใจ

อ๋องน้อยเบิกตากว้างเมื่อคิดตามคำของพระบิดา เขาอดทึ่งในความเฉลียวฉลาดของน้องชายหมิงมิได้จริงๆ หนิงอ๋องยกยิ้มขึ้นอย่างพึงใจ หากยอมทำตามคำขอและรอดูผลลัพธ์ตามที่เด็กน้อยคนนั้นว่า คงน่าสนุกไม่น้อย

“ข้าเองก็ชอบงับเหยื่อนั่นเสียด้วย อยากรู้ว่าเหยื่อนั่นจะน่าสนใจมากเพียงไหนก็มีแต่ต้องเร่งเดินทางไปแคว้นจ้าวเท่านั้น” หนิงอ๋องบอกบุตรชาย

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่กรุณาอธิบายให้ลูกได้ฟังพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วการปลูกผักในโรงเรือนเป็นเช่นไรบ้าง” หนิงอ๋องเอ่ยถามเรื่องการปลูกผักต่อ หากสิ่งนี้สำเร็จ ฮองเฮาคงไม่มีข้ออ้างอันใดมาคัดค้านฮ่องเต้เรื่องแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทได้อีกแล้ว

“เป็นไปด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้ว่าจะมีผักบางชนิดที่ไม่งอกเลย แต่สองพี่น้องหมิงบอกข้าว่าน้องชายหมิงได้กล่าวไว้เช่นนี้เหมือนกัน ต้องทดลองจากพื้นที่จริงเท่านั้นแล้วเก็บข้อมูลที่ได้นำมาทดลองอีกหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ ปี คาดว่าไม่เกินห้าปีคงจะสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องน้อยรายงานความคืบหน้าอย่างมีความสุข เขาดีใจมากที่เสด็จพ่อไว้วางใจให้เขารับผิดชอบงานสำคัญเช่นนี้

“เสด็จแม่ของเจ้าอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากว่าง ๆ ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย” หนิงอ๋องมิลืมเอ่ยเตือนโอรสถึงอาการเจ็บป่วยของพระชายาตนเอง

“พ่ะย่ะค่ะ ลูกทราบแล้ว” อ๋องน้อยรับคำ เขาอยู่ปรึกษางานเกี่ยวกับการทดลองปลูกผักอีกไม่นานจึงขอตัวกลับตำหนักไป

ภายในท้องพระโรงของพระราชวังแคว้นฉินกำลังวุ่นวายหนัก ฉินหลง ฮ่องเต้แคว้นฉิน ประทับอยู่บนบันลังก์ด้วยท่วงท่าสง่างามสมกับเป็นโอรสสวรรค์ เขามีพระชันษาราวห้าสิบปี สวมฉลองพระองค์ชุดสีเหลืองปักลายมังกรทอง

“พวกเจ้าหยุดเถียงกันสักทีได้หรือไม่ ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว” ฮ่องเต้ฉินหลงเปรยขึ้นเมื่อเหล่าขุนนางต่างพากันถกปัญหาเสียงดัง

“ฝ่าบาท แล้วแคว้นฉินจะไปหาเกลือจำนวนมากเช่นนี้ส่งให้แก่แคว้นจ้าวได้เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมโยธาทูลถามอย่างเป็นกังวล

“เจ้ากรมโยธา ท่านดูแลเรื่องการผลิตเกลืออยู่มิใช่หรอกหรือ ถ้าหากท่านมิรู้แล้วผู้ใดจะรู้เล่า” เจ้ากรมการเมืองเอ่ยขัด

“ฝ่าบาท การค้าเกลือถูกผูกขาดจากราชสำนักมายาวนานหลายร้อยปีแล้ว หากว่าเปลี่ยนให้มีการค้าขายอย่างเสรี จะมิเป็นการขัดคำสั่งบรรพบุรุษหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเยว่หยาง ผู้ปกครองเมืองที่ได้รับสิทธิผูกขาดการผลิตเกลือถามขึ้นบ้าง

“แล้วท่านมีทางเลือกหรือไม่เล่าท่านเจ้าเมืองเยว่หยาง ท่านสามารถผลิตเกลือได้จำนวนมากตามที่แคว้นจ้าวเรียกร้องมาหรือไม่เล่า” เจ้ากรมการเมืองหันไปถามอีกครั้ง

“...”

มิมีเสียงใดตอบกลับจากทุกคน เจ้าเมืองเยว่หยางถึงกับสะอึก เขาไม่มีทางผลิตเกลือได้มากมายถึงเพียงนั้นแน่

ในวันนี้ที่มีการเรียกประชุมอย่างเร่งด่วนเนื่องจากฮ่องเต้แคว้นฉินได้รับพระราชสารจากองค์จักรพรรดิแคว้นจ้าว เพื่อแจ้งเรื่องเครื่องบรรณาการที่แคว้นจ้าวเรียกร้องเป็นเกลือ 100 เกวียน ด้วยจำนวนเกลือมากถึงเพียงนี้ แม้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์พร้อมมากเพียงใด ก็ยากที่แคว้นฉินจะหาเกลือในปริมาณขนาดนั้นมาถวายได้ ฮ่องเต้ฉินหลงจึงเรียกประชุมขุนนางเพื่อหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“ฝ่าบาท ข้าคือเจ้าเมืองไห่ถัง มีความคิดหนึ่งมิทราบว่าสามารถนำเสนอได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หวงอี้เห็นว่าได้เวลาที่เหมาะสมแล้วจึงได้เอ่ยขึ้นกลางความเงียบ

“หึ! เป็นแค่เพียงเจ้าเมืองบ้านนอกเขตชายแดน จะมีความคิดความอ่านอันใดกัน” เจ้าเมืองเยว่หยางเปรยออกมาเสียง

“ท่านเจ้าเมืองเยว่หยาง ท่านพูดเช่นนี้ก็มิถูก คงมิลืมเรื่องเมื่อคราวภัยหนาวที่ผ่านมาใช่หรือไม่ เป็นท่านเจ้าเมืองไห่ถังมิใช่หรือที่แก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงและอาหารจนสามารถช่วยเหลือชาวบ้านแคว้นฉินได้ทันการณ์ มิเช่นนั้นคงมีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก” เจ้ากรมการเมืองเอ่ยแย้ง

“หึ! เพียงแค่แก้ปัญหาครั้งเดียวก็คุยอวดตลอดไปได้หรือ”

“ครั้งเดียวเช่นนั้นหรือ ข้าว่ามิถูกนัก ความดีความชอบในการทำสัญญากับแคว้นเหลียงเกี่ยวกับการซื้อขายถ่านและน้ำมันลูกหนามก็มิใช่ว่าเป็นฝีมือของเจ้าเมืองไห่ถังหรอกหรือ หรือว่าเจ้าเมืองเยว่หยางอายุมากความเลอะเลือนหลงลืมความดีของผู้อื่นไปสิ้นแล้ว”

เจ้ากรมการเมืองเอ่ยขึ้น ด้วยตัวเขานั้นเกลียดนักผู้ที่มิทำหน้าที่ของตนให้ดีแล้วยังขัดขวางคนอื่น คงเพราะถือว่าตนถือครองสูตรการผลิตเกลือมาหลายชั่วอายุคนละมั้งจึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้

“ขอบคุณขอรับท่านเจ้ากรมการเมือง” เจ้าเมืองไห่ถังประกบมือคาราวะเจ้ากรมการเมืองที่สนับสนุนอย่างนอบน้อม

“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าเมืองไห่ถังมีข้อเสนออันใดก็รีบพูดออกมา หากว่าเป็นวิธีที่ดีข้าจะปูนบำเหน็จให้อย่างงาม” ในที่สุดฮ่องเต้ฉินหลงก็เอ่ยตัดการทะเลาะของเหล่าขุนนาง

“กราบทูลฝ่าบาท ในเมื่อแคว้นจ้าวเรียกร้องเครื่องบรรณาการเป็นเกลือจำนวนมาก ภายในระยะเวลาสามเดือนเช่นนี้แล้ว หากรอให้เมืองเย่วหยางผลิตเห็นทีจะไม่ทันการ เหตุใดทางราชสำนักจึงไม่ทำประกาศออกไปให้ชาวบ้านชาวเมืองภายในแคว้นฉินว่า หากผู้ใดมีสูตรการผลิตเกลือและสามารถผลิตเกลือออกมาได้อย่างมีคุณภาพ ทางราชสำนักจะทำการซื้อเกลือทั้งหมดนั้นไว้

เช่นนี้แล้วแคว้นฉินก็สามารถรวบรวมเกลือได้ตามจำนวนที่แคว้นจ้าวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนดพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองไห่ถังอธิบายแผนการอย่างมั่นใจ

“เจ้าเมืองไห่ถัง แล้วท่านมั่นใจได้เช่นไรว่าชาวบ้านรู้วิธีการผลิตเกลือ ในเมื่อที่ผ่านมาหาได้มีชาวบ้านคนไหนผลิตเกลือเองไม่” เจ้ากรมโยธาแย้งอีกครั้ง

“การที่ชาวบ้านมิได้ผลิตเกลือเองนั้น ก็เป็นเพราะราชสำนักควบคุมการผลิตเกลืออยู่มิใช่หรือท่านเจ้ากรมโยธา โทษสูงสุดนั่นใครจะกล้าขัดขืน อีกอย่างการที่ชาวบ้านมิได้ผลิตเกลือออกมาใช้เอง ก็มิได้หมายความว่าพวกเขามิรู้สูตรนี่”

“เจ้าหมายความว่าให้เราออกประกาศยกเลิกการควบคุมการค้าเกลือที่ผูกขาดเพียงราชสำนักมาเป็นการค้าขายอย่างเสรี เช่นนั้นหรือเจ้าเมืองไห่ถัง” ฮ่องเต้ได้ฟังคำวิธีการหาเกลือจากหวงอี้แล้วก็พอสรุปได้ พระองค์จึงตรัสถามเพื่อความมั่นใจ

“พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพะย่ะค่ะ วิธีการนี้นอกจากจะหาเกลือมาให้ทันกำหนดและได้ตามปริมาณที่แคว้นจ้าวต้องการแล้ว ยังทำให้องค์จักรพรรดิพอพระทัยในแคว้นฉินด้วย แม้แต่ในแคว้นฉินเองราคาเกลือก็จะลดลง เพราะมีผู้ทำออกขายได้อย่างอิสระ ชาวบ้านก็จะมีอาชีพเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถส่งเกลือออกไปขายยังแคว้นต่าง ๆ ได้อีกข้ากระหม่อมขอสนับสนุนวิธีการนี้ ด้วยไม่ว่ามองไปทางใดก็ไม่เห็นผลเสีย ทั้งยังแลเห็นมีแต่ผลดีพ่ะย่ะค่ะ”

หวงอี้อธิบายเพิ่มเติม เขาเตรียมการและคำพูดมาตามที่เด็กน้อยจางอี้หมิงสอนเชียวนะ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ในท้องพระโรง จะทำให้เด็กน้อยนั่นคาดการณ์และเตรียมคำตอบไว้ได้แม่นยำราวกับจับวาง

โดยหวงอี้หารู้ไม่ว่า จางอี้หมิงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วมากมายนับครั้งไม่ถ้วน เพราะในชาติที่เป็นอานนท์นั้นเขาชอบดูและอ่านนิยายแนวนี้มาเยอะ จนสามารถเดาทางได้

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เราจะเปิดเสรีการค้าเกลือมิได้”

เจ้าเมืองเยว่หยางเมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะเข้าตาจนและสูญเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาลก็รีบเอ่ยคัดค้านขึ้นทันที

“เหตุใดจึงทำมิได้เล่าท่านเจ้าเมืองเยว่หยาง หรือท่านต้องการให้แคว้นจ้าวไม่พอใจและยกกองทัพมารุกรานแคว้นฉิน ท่านถึงว่าเหมาะสม”

เจ้ากรมการเมืองได้ทีก็ไม่ปล่อยให้เจ้าเมืองเยว่หยางได้หายใจ รีบเอ่ยแย้งทันที

“เอ่อ เอ่อ คือว่า....”

“ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้ากรมการคลัง... ข้ามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการจัดเก็บภาษีจากเจ้าเมืองไห่ถังสักเล็กน้อย มิทราบว่าข้าสามารถสอบถามได้หรือไม่”

เจ้าเมืองเยว่หยางยังหาคำมาตอบมิได้ เจ้ากรมการคลังก็รีบเอ่ยถามขึ้นมาเนื่องจากหากเปิดการค้าเกลืออย่างเสรี แล้วภาษีที่เก็บได้จากเมืองเยว่หยางก็จะหายไปด้วย เขามิสามารถทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้

“เชิญท่านเจ้ากรมการคลังขอรับ” หวงอี้อนุญาต

“ที่ผ่านมาเมืองเยว่หยางจะจ่ายภาษีสี่ในสิบส่วนของการค้าเกลือ แล้วถ้าหากเปิดเสรีการค้าเกลือเช่นนี้ ภาษีที่ส่งมอบให้ท้องพระคลังจะได้มาจากที่ใดกันเล่า ท่านเจ้าเมืองหวงอี้ได้เคยคิดปัญหานี้ไว้บ้างหรือไม่” เจ้ากรมการคลังเอ่ย

“เรียนท่านเจ้ากรมการคลัง หากชาวบ้านต้องการผลิตเกลือออกมาขาย ต้องขายให้กับราชสำนักเพียงเท่านั้น แล้วให้ราชสำนักจัดการขายให้กับแคว้นต่าง ๆ สำหรับภายในแคว้นก็ให้ขายได้อย่างอิสระ ผู้ที่ต้องการขายเกลือภายในแคว้นต้องจ่ายภาษีเข้าท้องพระคลังเท่ากับที่เมืองเยว่หยางเคยจ่ายไว้ เช่นนี้แล้ว ก็คงหมดปัญหาเรื่องภาษีแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

“หากยังคงเก็บภาษีได้เช่นนี้ ข้าก็มิมีปัญหาอันใด”

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ข้าเห็นด้วยกับความคิดและแผนการของเจ้าเมืองไห่ถัง

หวงอี้ คราวนี้เจ้าก็ช่วยแคว้นฉินไว้อีกครั้งแล้ว หากการส่งเครื่องบรรณาการในครั้งนี้สำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ข้าจะปูนบำเหน็จให้กับเจ้าอย่างที่เอ่ยไว้” ฮ่องเต้ฉินหลงตัดสินใจตกลงกับแผนการของหวงอี้

ในฐานะฮ่องเต้ มิง่ายเลยที่จะจัดการอำนาจของเจ้าเมืองเยว่หยางซึ่งถือว่าตนเองครองสูตรการผลิตเกลือแต่เพียงผู้เดียวมานานหลายชั่วอายุคน ในตอนที่เจ้าเมืองไห่ถังเสนอทางออกให้เช่นนี้ไหนเลยเขาจะไม่รีบคว้าไว้ เขาเองก็ปรารถนาให้ชาวเมืองได้อยู่ดีกินดีและมีความสุข แต่อำนาจของแต่ละฝ่ายที่สะสมกันมาหลายชั่วอายุคนก็ยากจะขุดรากถอนโคนได้เช่นกัน

เจ้าเมืองเยว่หยางดั่งคนที่น้ำท่วมปาก เขาเอ่ยขัดอันใดไม่ได้ ได้แต่หันไปถลึงตาอย่างโกรธแค้นให้กับเจ้าเมืองไห่ถังเพียงเท่านั้น ซึ่งหวงอี้ทำเป็นไม่เห็นสายตาที่ส่งมาแล้วหันไปอธิบายแผนการต่าง ๆ ให้เจ้ากรมการเมืองได้ฟังแทน

ด้วยเหตุนี้ทางราชสำนักจึงมีประกาศตามหาผู้ที่สามารถผลิตเกลือและส่งขายให้กับราชสำนักได้ พร้อมกับยกเลิกผูกขาดการค้าเกลือแต่เพียงผู้เดียวของเมืองเยว่หยาง

โดยผู้ที่ต้องการผลิตเกลือออกมาขายต้องนำไปขายให้กับราชสำนักเท่านั้นและสำหรับค้าขายในแคว้นฉินเองก็มีกำหนดปริมาณไว้อย่างชัดเจน

เจ้าเมืองไห่ถังยกยิ้มอย่างพอใจ ไม่น่าเชื่อว่าการผูกขาดเกลือของราชสำนักจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมืองเยว่หยางถือครองสิทธิ์มาช้านานและหยิ่งทะนงในตนเองนัก หากไม่จนมุมจริงๆคงไม่มีทางยอมให้เปิดการค้าเสรี ทว่าจางอี้หมิงสามารถต้อนท่านเจ้าเมืองเยว่หยางและราชสำนักแคว้นฉินให้ต้องยินยอมได้ ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้มาก่อน

ทั้งหมดนี้มาจากความคิดความอ่านของเด็กชายวัยห้าขวบจริงๆหรือ ในตอนเด็กสามารถทำได้มากถึงเพียงนี้ ท่านเจ้าเมืองไห่ถังไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าในอนาคต จางอี้หมิงจะยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงไหน

เพราะเด็กคนนั้นช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ