ตอนที่ 101 ดั่งแสงสว่างในคืนเดือนมืด

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่อาลิ่วกำหนดให้ทุกคนได้เตรียมใจ สมาชิกตระกูลจางเขตพื้นที่เหลียนฮวาทุกคนจึงมาอยู่รวมตัวกันในห้องนี้ ห้องที่มีเด็กน้อยอันเป็นที่รักนอนอยู่

หลี่อ้ายกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงของจางอี้หมิงเคียงข้างกันกับนางหูที่อาการดีขึ้นมากแล้ว เด็กน้อยได้รับยาบรรเทาอาการปวดทำให้นอนหลับไหลตลอดเวลา

ใบหน้าที่เคยสดใสนั้นซีดเซียว ริมฝีปากดำคล้ำ มีเพียงหน้าอกที่หายใจขึ้นลงแผ่วเบาเท่านั้นที่ทำให้รับรู้ว่าจางอี้หมิงยังไม่จากไปไหน แต่หากไม่สังเกตให้ดีคงนึกว่าเป็นร่างที่ไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว

นางหูและหลี่อ้ายร้องไห้เงียบ ๆ ครอบครัวซุนไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้อง เพราะต้องคอยดูแลซุนซูลี่และซุนหมิงเย่ที่ยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้เรื่องแบบนี้

“หมิงเอ๋อร์ หากว่าเจ้าเจ็บปวดเกินไป จงไปเถอะ แม่จะไม่รั้งเจ้าไว้” หลี่อ้ายเอ่ยพลางลูบศีรษะบุตรชายเบา ๆ

“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดจึงทำเช่นนี้ เหตุใดเจ้าช่างโง่เขลา เลือกที่จะช่วยย่า เจ้ามิคิดหรือว่าย่าจะรู้สึกเจ็บปวดเพียงใดที่เป็นคนเห็นแก่ตัวปล่อยให้หลานเสียสละตนเอง เหตุใดสวรรค์จึงใจร้ายกับครอบครัวเราเหลือเกิน”

นางหูฟูมฟายตีอกชกหัวตนเอง นางแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องตกตายจากไป แล้วเหตุใดหลานชายจึงเลือกที่จะสละชีวิตตนเองเช่นนี้เล่า นางไม่เข้าใจจริง ๆ

“ท่านแม่ อย่าได้ทำร้ายตนเองเช่นนี้ หากหมิงเอ๋อร์มาเห็น เขาต้องเสียใจเป็นแน่” เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยเตือนมารดาและรวบร่างของนางมากอดเอาไว้ เขาทั้งปลอบใจตนเอง ภรรยาและมารดาไปด้วย

เหล่าองครักษ์ไม่มีใครพูดอันใดออกมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะให้การคุ้มครองท่านอ๋องน้อยได้มินาน แต่กลับรู้สึกผูกพัน รัก และเคารพ ในตัวของเจ้านายตัวน้อยนี้อย่างถวายชีวิต

ท่านอ๋องน้อยไม่เคยตระหนี่ถี่เหนียว อาหารอันใดอร่อย พวกเขาก็ได้ทานร่วมกันอย่างถ้วนทั่ว มิเคยทำให้การคุ้มครองต้องลำบากใจ มีแต่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บางครั้งยังแนะนำในสิ่งที่พวกเขามิรู้อีกด้วย

เมื่อได้มาเห็นวาระสุดท้ายของคนที่พวกตนรักเช่นนี้ แม้แต่หน่วยองครักษ์ที่แข็งแกร่งก็รู้สึกเศร้าเสียใจมิน้อย

ภายนอกเรือนที่แสนเงียบเชียบ บัดนี้ได้มีกลุ่มแขกมาเยือนในยามสนธยา รถม้าหรูหราสามคันจอดหน้าจวนตระกูลจางเขตพื้นที่เหลียนฮวาด้วยความแปลกใจถึงความเงียบของสถานที่ตรงหน้า

“พวกเจ้าไปดูสิ เกิดเหตุอันใดขึ้น หรือว่าพวกเรามาไม่ถูกจวน” ชายวัยกลางคนบอกให้ทหารที่ติดตามไปสำรวจดู

“ไม่ผิดขอรับท่านแม่ทัพ ป้ายจวนสกุลจางถูกต้องแล้วขอรับ แต่เหตุใดถึงได้เงียบผิดปกติเช่นนี้ข้าหาได้รู้ไม่”

“หากไม่รู้ เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปดูเล่า”

“ขอรับ”

หลังขานรับ ชายหนุ่มผู้นั้นก็เดินหายไปในเขตพื้นที่ของจวน กลุ่มแขกผู้มาเยือนจึงรออีกไม่นาน ก็เห็นทหารของตนเองเร่งฝีเท้ากลับมาด้วยท่าทางร้อนรน

“เรียนท่านแม่ทัพ เกิดเหตุร้ายกับท่านอ๋องน้อยอี้หมิงขอรับ”

“เจ้าว่าเช่นใดนะ” เสียงแหบพร่าดุดันของเด็กหนุ่มอายุใกล้วัยสวมกวานเปิดผ้าม่านประตูรถม้าออกมาสอบถามเมื่อได้ยินทหารรับใช้กล่าวรายงาน

“ท่านอ๋องน้อยอี้หมิงถูกพิษร้าย ตอนนี้อาการมิสู้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

เพียงได้ยินคำกล่าวรายงานเท่านั้น ท่านอ๋องน้อยเหลียงหนิงเทียนก็กระโดดลงจากรถม้า เดินลิ่วเข้าไปในจวนโดยไม่รอเหล่าผู้ติดตามทั้งหลาย เมื่อเจอบ่าวชายคนหนึ่งจึงให้นำทางไปยังห้องรักษาตัวน้องชายของตนทันที ท่านแม่ทัพวัยกลางคนจึงต้องเร่งตามเจ้านายไปด้วย

“เกิดเหตุอันใดขึ้น”

เสียงที่ดังราวฟ้าผ่าปนหอบหายใจเล็กน้อยเอ่ยถามหน่วยองครักษ์เหลียงไป๋ด้วยใบหน้าแดงก่ำ ในอกของท่านอ๋องน้อยเหลียงหนิงเทียนเต็มไปด้วยความร้อนใจและโกรธา

“ท่านอ๋องน้อย”

หัวหน้าองครักษ์อีเอ่ยออกมาด้วยความดีใจ เสมือนดั่งเห็นแสงสว่างในคืนเดือนมืด

“ท่านอ๋องน้อยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องเป็นเช่นนี้...”

หัวหน้าอีรีบกล่าวรายงานอย่างละเอียดทันที เขาเล่าตั้งแต่ที่บ้านจางเดินทางไปยังบ้านหลักของตระกูลเพื่อขอป้ายวิญญาณอดีตท่านผู้นำจางจนถูกพิษร้ายเข้า

พวกเขาไปขอยาชุบชีวิตมาจากองค์ฮ่องเต้แคว้นฉิน แต่ยามีเพียงเม็ดเดียวเท่านั้น ในขณะที่พวกเขามีสองชีวิตที่ต้องการยารักษา

อ๋องน้อยอี้หมิงสั่งให้พวกเขาช่วยเหลือฮูหยินผู้เฒ่าแทนที่จะเป็นตนเอง ในฐานะองครักษ์จึงต้องทำตามคำสั่งแม้ใจไม่ต้องการเช่นนั้น

“...และวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์อีจบรายงาน ก็ประจวบกับที่ท่านแม่ทัพเดินมายืนเบื้องหลังท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนพอดิบพอดี

“ท่านแม่ทัพ นำยาชุบชีวิตติดตัวมาหรือไม่” อ๋องน้อยหนิงเทียนหันไปถามแม่ทัพที่ตนเองฝากตัวเป็นศิษย์ ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มกันตนเองตลอดการเดินทางมายังแคว้นฉิน

“นำมาพ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพตอบ เขาเดินออกไปที่รถม้าไม่ถึงชั่วอึดใจก็กลับมาและยื่นยาชุบชีวิตให้กับท่านอ๋องหนิงเทียน

“พวกเจ้ารีบนำยานี้ไปช่วยน้องชายข้าเร็วเข้า” อ๋องน้อยหนิงเทียนเอ่ยสั่งการพลางยื่นยาชุบชีวิตไปให้ อาลิ่วจึงเดินไปรับมา องครักษ์หนุ่มรีบนำยามาบดและป้อนให้กับคนป่วยบนเตียง

ยาเม็ดชุบชีวิตเป็นดั่งโอสถเทพ สมแล้วที่ใคร ๆ ต่างก็ไขว้คว้าอยากได้มาครอบครอง เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงก็ลืมตาฟื้นขึ้นมา อาการปวดท้องหายไปเป็นปลิดทิ้ง การหายใจกลับมาสม่ำเสมอ ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มมีเลือดฝาด ริมฝีปากกลับมาเป็นสีแดงระเรื่อดังปกติ

ถึงแม้ว่าจะมีอาการอิดโรยอยู่บ้าง แต่เมื่ออาลิ่วและอาปาเข้าไปตรวจดอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงกล่าวรายงานท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนด้วยความยินดี

“อาการของท่านอ๋องน้อยอี้หมิงหายจากการถูกพิษแล้วพ่ะย่ะค่ะ พักผ่อนและเสวยยาบำรุงอีกไม่กี่เทียบก็คงกลับมาแข็งแรงดั่งเดิมแล้ว” สิ้นคำของหน่วยองครักษ์เหลียงไป๋ จวนที่เคยเงียบเหงาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว แม่ดีใจยิ่งนัก”

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว ย่าดีใจยิ่งนัก”

หลี่อ้ายกับนางหูเอ่ยขึ้นพร้อมกันทั้งน้ำตา หากแต่ครั้งนี้เป็นน้ำตาแห่งความดีใจสูงสุดของชีวิต ความรู้สึกช่างโล่งใจ ความเศร้าหายไปในชั่วพริบตา

อ๋องน้อยหนิงเทียนเมื่อเห็นครอบครัวจางกำลังใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข จึงยินดีรออย่างอดทนและเป็นจางอี้หมิงที่ตระหนักได้ก่อนจึงเอ่ยถามขึ้น

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า เหตุใดข้ายังอยู่ตรงนี้”

“หมิงเอ๋อร์ เพราะท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนอย่างไรเล่า พระองค์ช่วยชีวิตลูกไว้” จางอี้เทาเอ่ยอธิบายให้บุตรชายได้รับฟังทั้งน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มสองตา

จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นจึงเหลียวไปมองผู้ที่บิดากำลังกล่าวถึง

“พี่ชายหนิงเทียน ข้าขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ขอรับ”

“เจ้าเป็นน้องชายของข้า หากมิช่วยเจ้าแล้วจะข้าเป็นพี่ใหญ่ที่ดีได้เช่นไร”

อ๋องน้อยหนิงเทียนเดินไปนั่งข้างเตียงที่จางอี้หมิงนอนพักรักษาตัวอยู่ นางหูและหลี่อ้ายจึงหลีกทางให้

“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องน้อยอี้หมิงเพิ่งฟื้น ตอนนี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าท่านอ๋องปลอดภัยดี ข้าน้อยในฐานะหมอ ขอให้ทุกท่านออกไปก่อน ข้าอยากให้ท่านอ๋องน้อยพักผ่อนก่อนขอรับ” เป็นอาลิ่วที่เห็นว่าทุกคนสมควรออกไปจากห้องได้แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม

เมื่อได้รับฟังเช่นนั้นทุกคนจึงออกจากห้องไปรวมตัวกันที่โถงของจวน ซึ่งมีครอบครัวซุนรออยู่อย่างสงบเรียบร้อย

จางอี้เทารับหน้าที่บอกเล่าอาการต่าง ๆ ของจางอี้หมิงให้กับครอบครัวซุนและบ่าวไพร่ได้รับฟัง ทำให้ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

“ท่านอ๋องน้อย ข้าและครอบครัวขอขอบพระทัยสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยขึ้นหลังจากที่หายตกใจและสงบสติอารมณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว

“ท่านจางอย่าได้มากพิธีไป อย่างไรเสีย อี้หมิงก็เป็นดั่งน้องชายแท้ๆของข้า”

“สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งตระกูลจางของพวกเรา” นางหูเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ใช่แล้วท่านแม่ สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งตระกูลจางของพวกเรา ว่าแต่เหตุใดท่านอ๋องน้อยจึงเดินทางมายังแคว้นฉินหรือพ่ะย่ะค่ะ” จางอี้เทาเห็นด้วยกับมารดาและเอ่ยถามอ๋องน้อยหนิงเทียนไปด้วย

“เสด็จพ่อ มีรับสั่งให้ข้ามาที่แคว้นฉินเพื่อชวนน้องชายหมิงและครอบครัวไปเยี่ยมเสด็จแม่ที่แคว้นเหลียง”

“สำหรับเรื่องนี้คงต้องแล้วแต่บุตรชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ในตอนนี้คงยังไม่คิดถึงเรื่องอื่นใดจนกว่าหมิงเอ๋อร์จะหายดีและกลับมาแข็งแรงดังเดิม” จางอี้เทาเอ่ยตอบ เขาซาบซึ้งในความกรุณาของเด็กชายสูงศักดิ์ตรงหน้า ทว่าในตอนนี้เขาเป็นห่วงจางอี้หมิงเหลือเกิน

“ข้าเข้าใจและยินดีรั้งรอจนกว่าน้องชายหมิงจะแข็งแรงพอจะเดินทางไปยังแคว้นเหลียงได้”

“เช่นนั้นให้กระหม่อมได้จัดการเตรียมที่พักให้กับท่านอ๋องน้อยและผู้ติดตามก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จางอี้เทาเมื่อเบาใจในเรื่องอาการของบุตรชายแล้ว จึงคิดเรื่องที่พักของผู้มีพระคุณซึ่งเปรียบดั่งทูตสวรรค์ที่มาช่วยเหลือบุตรชายของตนได้อย่างพอเหมาะเหลือเกิน

“ตามสบายท่านจาง”

เมื่อทุกอย่างกลับมาปกติ นางหูและหลี่อ้ายต่างขอตัวแยกไปพักผ่อน ครอบครัวซุนลุกจากไปเงียบ ๆ เพื่อไปทำธุระของกลุ่มการค้าหลัวถงตามความต้องการของเด็กน้อยจางอี้หมิงต่อไป

ความสงบเรียบร้อยกลับสู่จวนตระกูลจางในพื้นที่เหลียนฮวาอีกครั้ง

อีกด้านหนึ่งของจวน จางอี้หมิงที่ปลอดภัยจากพิษร้ายแล้วกำลังหวนคิดถึงความฝัน อาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวดบริเวณท้องที่ร่างกายเล็ก ๆ นี้ทนไม่ไหว หรือเป็นเพราะยาระงับความเจ็บปวดที่อาลิ่วให้เขากินก็สุดจะรู้ สติสัมปชัญญะของเขาจึงดับวูบไปและได้ลอยละล่องกลับไปยังโลกใบเดิมที่เคยจากมา

ในฝันนั้น...เขารับรู้ได้ว่าตนเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาเห็นแม่ครูกำลังถูกประคองด้วยรวิสา หญิงสาวที่เติบโตมาด้วยกันและยังเป็นรักแรกของเขา ทั้งสองคนเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

อานนท์เห็นร่างของตนเองนอนอยู่บนเตียงคล้ายคนที่กำลังนอนหลับเท่านั้น ร่างของเขาซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อแม่ครูเข้าไปถึงในห้องพักแล้ว พยาบาลที่ดูแลอยู่จึงหลบออกจากห้องเพื่อให้แขกที่มาเยี่ยมได้ใช้เวลาส่วนตัวกับคนไข้

แม่ครูนั่งลงข้างเตียง ยกมืออันเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบไปบนศีรษะของอานนท์อย่างรักใคร่ น้ำตาของหญิงชราเอ่อล้นออกมาจากดวงตา โดยมีรวิสาคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง

“นนท์ เมื่อไหร่ลูกจะตื่นขึ้นมาเสียที อย่าทำให้แม่เป็นห่วงได้ไหม” แม่ครูเอ่ยกับร่างคนไข้บนเตียง ก็ไม่รู้ว่าคำบอกนั้นจะส่งไปถึงคนที่ฟังอยู่ได้หรือไม่ แต่สิ่งที่แม่ครูคนนี้ทำได้มีเพียงเท่านี้

“แม่ครูคะ นนท์ต้องฟื้นขึ้นมาแน่นอนค่ะ ริสาเชื่ออย่างนั้น แม่ครูอย่าร้องไห้เลยนะคะ ถ้านนท์รู้ นนท์ต้องเสียใจแน่นอนค่ะที่ทำให้แม่ครูเป็นห่วง” รวิสายังคงเอ่ยปลอบใจแม่ครูผู้มีบุญคุณกับตนเองและนนท์อย่างท่วมท้น

“ริสา แม่กลัว กลัวเหลือเกินว่านนท์จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”

“แม่ครูคะ เราต้องมีความหวัง นนท์ยังอยู่ตรงนี้ ยังหายใจ นนท์ยังไม่จากเราไปไหนนะคะ”

“แต่ว่า...” แม่ครูเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็รู้สึกพูดไม่ออกอีกเลย มันจุกไปหมด

ทางด้านอานนท์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เตียงคนไข้พยายามร้องเรียกแม่ครูและรวิสาเพื่อนของตนเอง เขาเอ่ยเรียกครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง

สุดท้ายอานนท์ก็รู้ว่าคงติดต่อแม่ครูไม่ได้ ครั้งนี้อาจจะเป็นความปรารถนาดีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือท่านเทพที่ทำให้เขาได้มาบอกลาหรือเห็นจุดจบของตนเอง

“แม่ครูครับ ผมช่างเป็นคนอกตัญญูทำให้แม่ครูเป็นห่วง บุญคุณที่แม่ครูเลี้ยงดูมาผมยังตอบแทนได้ไม่เต็มที่เลย แต่แม่ครูไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ค่าประกันชีวิตของผมคงช่วยให้น้อง ๆ บ้านอุ่นไอรักได้อยู่อย่างเป็นสุขไปอีกหลายปี หากเรามีวาสนาต่อกันอีก ผมขอเกิดมาเป็นลูกของแม่ครูอีกนะครับ”

อานนท์ก้มลงกราบไปยังเท้าของแม่ครูที่ตนเคารพรักพลางร้องไห้ออกมา เสร็จแล้วจึงลุกขึ้นเดินไปสวมกอดร่างแม่ครูไว้ด้วยความเศร้าใจด้วยเพราะอ้อมกอดนี้คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้

“ผมรักแม่ครูนะครับ”

เมื่ออานนท์กล่าวเสร็จแล้ว จิตของเขาก็ถูกกระชากกลับไปยังร่างของจางอี้หมิงทันที เหลือเพียงแม่ครูและรวิสาในห้องพักผู้ป่วย

“หนูริสา รู้สึกอะไรไหม”

“แม่ครูเป็นอะไรคะ” รวิสาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้สิ แต่แม่รู้สึกได้ว่านนท์เขาอยู่ตรงนี้กับเรา”

“แม่ครูค่ะ นนท์ก็นอนอยู่ตรงนี้ไงคะ”

“ไม่ใช่ มันเป็นความรู้สึก แม่ก็บอกไม่ถูก แต่แม่สัมผัสได้ หรือนนท์ต้องการจะบอกอะไรหรือเปล่า”

“แม่ครูคงคิดมากไปเองค่ะ นนท์ยังนอนอยู่ตรงนี้นะคะ”

“อืม คงจะจริงอย่างหนูริสาว่า แม่คงคิดมากไปจริง ๆ ว่าแต่ค่าห้องพักนนท์แพงมากนะหนูริสา ไหนจะค่าพยาบาลพิเศษอีก นนท์นอนไม่ได้สติแบบนี้มาจะสองเดือนแล้ว แม่ไม่อยากรบกวนหนูริสาเลย”

“แม่ครูคะ นนท์ก็เป็นเพื่อนของริสาเหมือนกัน เงินเท่านี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ริสาจ่ายได้ ริสาอยากจะทำอะไรให้นนท์บ้าง ริสารู้สึกติดค้างนนท์”

“หนูริสาไม่ได้ติดค้างอะไรนนท์หรอกนะ นนท์บอกแม่ว่าหากหนูริสามีชีวิตที่ดี นนท์ก็มีความสุขแล้ว” แม่ครูตบลงไปบนหลังมือหญิงสาวเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม

ความรักที่แตกต่างกันทางฐานะและสังคม มันคงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะผู้ปกครองของรวิสามีหรือจะยอมให้เด็กกำพร้าอย่างอานนท์ได้เป็นแฟนและตัดอนาคตของนักร้อง ดาราสาวชื่อดังอย่างรวิสา ถึงแม้ว่าตัวรวิสาเองจะเป็นเด็กกำพร้าเช่นเดียวกันกับอานนท์ก็ตาม

อานนท์จึงรับรู้เพียงว่าร่างกายของเขาอีกโลกหนึ่งกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วจากการพูดคุยของคนที่เขารักทั้งสองคน เขาไม่มีทางล่วงรู้เลยว่าร่างบนเตียงนี้จะสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีกหรือไม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาของทั้งสองโลกแตกต่างกันอย่างไร แต่ในนี้ตอนนี้เขาคือจางอี้หมิง

เป็นเพียงจางอี้หมิง เด็กน้อยวัยหกขวบ บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจางที่จะอาศัยอยู่ในโลกใหม่ใบนี้จนกว่าจะหมดลมหายใจ

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ