ตอนที่ 76 เทศกาลประจำปีเมืองไห่ถัง

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวจางที่มีงานรัดตัว อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันแข่งขันทำอาหารเพื่อชิงตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง บรรดาเหลาอาหารเล็กๆต่างพากันถอนตัวออกไปมาก ด้วยพวกเขาทราบกันว่าพ่อครัวของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นถึงอดีตพ่อครัวหลวง ผู้ซึ่งเคยประกอบสำรับถวายฮ่องเต้แคว้นฉินมาแล้ว หากดึงดันลงแข่งไปก็หาทางเอาชนะได้ยาก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเหลาอาหารเฟิงฟู่และเหลาอาหารซิ่งฝูเท่านั้น

ในการจับไม้สั้นไม้ยาว เหลาอาหารเฟิงฟู่จะได้ทำอาหารก่อนและตามด้วยเหลาอาหารซิ่งฝู ผลการแข่งขันจะมาจากการให้คะแนนของชาวเมืองไห่ถังหนึ่งส่วน โดยให้ชาวเมืองนำเงินไปหย่อนลงในกล่อง หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว เงินจำนวนนี้จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยไม่มีเงินหาหมอต่อไป

และอีกหนึ่งส่วนเป็นการให้คะแนนจากพ่อครัวจากเหลาอาหารในเมืองหลวง จำนวน 5 ท่าน เมื่อนำคะแนนมารวมกันแล้วเหลาอาหารใดได้คะแนนมากที่สุด จะได้ขึ้นป้ายเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังต่อไป

เกณฑ์การนับคะแนน สถานที่แข่งขัน และวันเวลาในการแข่งขัน ล้วนถูกประกาศออกไปทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองต่างพากันอดใจรอไม่ไหวที่จะได้ชมการแข่งขันการทำอาหารที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ข่าวการแข่งขันยังลุกลามไปยังเมืองใกล้เคียงและเมืองหลวงด้วย ในวันแข่งขันจึงมีทั้งชาวเมืองไห่ถังเองและชาวเมืองใกล้เคียงมาดูการแข่งขันอย่างเนื่องแน่น

“เจ้าตัวเล็กต้องทำให้เต็มที่นะ ข้าและอ๋องน้อยเป็นกำลังใจให้เจ้าเสมอ” ท่านอ๋องเอ่ยให้กำลังใจจางอี้หมิงเมื่อพระองค์เรียกเด็กน้อยให้มาเข้าพบก่อนการแข่งขันทำอาหารหนึ่งวัน เนื่องจากมีเรื่องจะแจ้งแก่เด็กน้อยบ้านจางให้ได้ทราบ

พวกเขานั่งจิบชาอยู่ในศาลาใกล้บึงบัว ชื่นชมดอกไม้งามที่ผลิบานอยู่ในสวนสวย บัวหลวงสีชมพูเข้มอ่อนต่างออกดอกชูช่อ

จางอี้หมิงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาใบเล็กจากท่านอาจารย์เทียน เด็กน้อยก้มหัวลงเล็กน้อยและกล่าวเสียงใส

“ขอบพระคุณขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย พระบิดามีเรื่องจะแจ้งให้เจ้าทราบ” อ๋องน้อยเห็นว่าสมควรเข้าเรื่องได้แล้วจึงหันไปบอกน้องชายทันที

“เรื่องอันใดหรือขอรับ”

“ข้าและอ๋องน้อยต้องรีบกลับแคว้นเหลียง พระมารดาของอ๋องน้อยประชวรหนัก ข้าเพิ่งได้รับสารส่งมาเมื่อวาน ความจริงแล้วข้าอยากอยู่อีกสักหนึ่งเดือนและอยากให้อ๋องน้อยอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้งานกับเจ้า แต่เกรงว่าจะไม่เหมาะ ก่อนฤดูหนาวในปีนี้จะมาถึง ข้าขอเชิญเจ้าและครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวและพบพระมารดาพระองค์ใหม่ที่แคว้นเหลียงสักครา ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องชอบนางเป็นแน่

ข้าจะออกเดินทางทันทีที่เจ้าแข่งขันเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้ ข้าต้องการรอดูผลการแข่งขันของเจ้าเสียก่อน อีกประการหนึ่งคือข้าจะได้แต่งตั้งเจ้าเป็นอ๋องน้อยอย่างเป็นทางการด้วย เจ้าเห็นว่าเป็นเช่นไร”

หนิงอ๋องเอ่ยถามขึ้นด้วยความคาดหวังในคำตอบจากปากเล็กๆ นั่น

“ข้าคงต้องขอปฏิเสธขอรับ เนื่องจากข้ายังคงมีเรื่องมากมายให้จัดการ ไหนจะเรื่องของการปลูกต้นลูกหนาม กลุ่มการค้าหลัวถง และสุดท้ายแล้วคือการเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อนำป้ายวิญญาณของท่านปู่กลับมายังหมู่บ้านหลัวถง

แต่ข้าให้สัญญาว่าหากทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สำเร็จแล้ว ข้ายินดีจะไปเยือนแคว้นเหลียงอย่างแน่นอนขอรับ ข้าขอเวลาอีก 5 ปี ขอท่านอ๋องได้โปรดมีพระเมตตาแก่ข้าด้วยขอรับ”

จางอี้หมิงตอบด้วยท่าทางมั่นใจ หาได้เกรงกลัวต่ออำนาจและบารมีขอท่านอ๋องตรงหน้าไม่หลังจากที่นิ่งเงียบและพิจารณาอยู่ไม่นาน เสียงที่หนักแน่นมั่นคงเกินเด็กทั่วไปเช่นนี้ทำให้หนิงอ๋องถึงกับมิสามารถเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมได้

จากเรื่องราวที่ผ่านมา เขาก็รู้จักนิสัยใจคอของเด็กน้อยตรงหน้าเป็นอย่างดี คนเช่นนี้เกลียดการบังคับ หากต้องการเป็นมิตรคงต้องแสดงความจริงใจเพียงเท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นท่านอ๋องจึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพิ่มขึ้นไปอีกนิด

“ได้ ข้าและแคว้นเหลียงจะรอเจ้าในวันที่เจ้าพร้อมแล้ว ในระหว่างนี้เจ้าจะมีศักดิ์และสิทธิ์ของอ๋องน้อยแห่งแคว้นเหลียงทุกประการ หากเจ้ามีปัญหาอันใดให้มาที่จวนแห่งนี้ พ่อบ้านจะจัดการทุกเรื่องให้เจ้าเอง ในเมื่อเจ้ามิปรารถนาจะเดินทางไปยังแคว้นเหลียงกับข้าในเร็ววันนี้ เช่นนั้นจงรับสิ่งนี้ไว้ ในเวลาคับขันมันจะช่วยเจ้าได้” หนิงอ๋องยื่นมือออกไปรับกล่องหยกขนาดไม่ใหญ่มากนักจากอาจารย์เทียนมาถือไว้ ก่อนจะส่งต่อให้กับจางอี้หมิง

จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงหันหน้าไปหาบิดา เมื่อเห็นว่าจางอี้เทาพยักหน้าให้รับของแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปรับ พลางกล่าวขอบคุณด้วยความนอบน้อมและเรียบร้อย

“ขอบคุณขอรับ”

“เจ้าจะมิเปิดออกดูเช่นนั้นหรือว่าพระบิดามอบอันใดให้กับเจ้าหมิงหมิงน้อย” อ๋องน้อยเอ่ยถามพลางยิ้มอย่างจริงใจ

จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นจึงเปิดฝากล่องหยกออก ปรากฏเป็นเม็ดยาสีขาวนวลหนึ่งเม็ด ขนาดเท่าไข่มุกเม็ดใหญ่ ในคราแรกจางอี้หมิงยังสับสนว่าสิ่งที่เห็นคืออันใด แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดจึงทำให้เขาเข้าใจและรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องคือเม็ดยาชุบชีวิต โอสถชื่อดังของแคว้นเหลียง ซึ่งต่างเป็นที่หมายปองของผู้คนมากมายในใต้หล้านี้

“นี่มิมากไปหรือขอรับ” จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นและถามด้วยความตกตะลึง เขาไม่นึกว่าท่านอ๋องจะมอบสิ่งของล้ำค่าให้เช่นนี้

“เจ้าก็เปรียบเสมือนบุตรชายแห่งเรา เหตุใดจึงบอกว่ามากไป ไม่มีอันใดมีค่ามากไปกว่าชีวิตของเจ้านะเด็กน้อย ถ้าหากไม่เกิดอันใดขึ้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหากว่ามีอันตราย โอสถเม็ดนี้จะสามารถช่วยเจ้าได้ เช่นนั้นจงเก็บรักษาไว้ให้ดี หากเกรงว่าจะทำหายเจ้าฝากเอาไว้ที่จวนแห่งนี้ได้ พ่อบ้านจะเก็บรักษาโอสถไว้ให้เจ้าอย่างดี อีกอย่างหากเจ้าต้องการอาศัยที่จวนแห่งนี้ก็สามารถย้ายมาอยู่ได้ดีหรือไม่” ท่านอ๋องเอ่ยตอบอีกครั้งพลางลูบไปบนศีรษะน้อย ๆ ด้วยความรักและจริงใจ จนจางอี้หมิงสัมผัสได้

“ขอบคุณขอรับ เช่นนั้นแล้วข้าขอให้ท่านพ่อบ้านเก็บไว้ให้ดีกว่าขอรับ ข้าอยู่บ้านนอกอาจจะทำหายเอาได้”

“ได้สิ” หนิงอ๋องยิ้มรับและกวักมือเรียกพ่อบ้านมาสั่งความต่อหน้าทุกคน

“พ่อบ้านจงนำโอสถนี้ไปเก็บรักษาในคลังสมบัติของจวน และหากอ๋องน้อยอี้หมิงต้องการสิ่งใดจงจัดหาให้อย่าได้บกพร่อง จงปฏิบัติต่อเขาดั่งเช่นปฏิบัติต่อข้า เข้าใจหรือไม่”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านรับคำก่อนจะยื่นมือออกไปรับกล่องหยกโอสถล้ำค่ามาถือไว้เพื่อนำไปเก็บไว้ตามพระประสงค์ของท่านอ๋องเจ้าของจวน

เมื่อเรื่องสำคัญผ่านพ้นไปแล้ว ท่านอ๋องและจางอี้เทาจึงเดินหมากกันอีกครั้ง เนื่องจากทั้งสองครั้งที่ผ่านมายังไม่อาจรู้ผลแพ้ชนะได้ ในขณะที่อ๋องน้อยกับจางอี้หมิงไปเที่ยวเล่นด้วยกันในตลาด

...

ดั่งสายลมพัดผ่าน สายน้ำมิเคยไหลกลับ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยตามที่ควรจะเป็น เช้าวันนี้ในเมืองไห่ถังต่างคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวบ้าน คหบดี หรือข้าราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองไห่ถังเองหรือชาวเมืองใกล้เคียงบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สมกับเป็นงานรื่นเริงประจำเมืองที่จะจัดขึ้นในทุกๆ ปี

มีกลุ่มคนบางคนรับทายผลการพนันว่าเหลาอาหารไหนจะได้ตำแหน่งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าจะมีการรับพนันแบบลับๆ ก็ตาม โดยเหลาอาหารเฟิงฟู่ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมือง เนื่องจากข่าวที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ได้อดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวในการลงแข่งขันนั้นถูกกระพือออกไปให้รู้กันถ้วนหน้า ในส่วนของเหลาอาหารซิ่งฝูถึงแม้ว่าระยะเวลาหนึ่งปีมานี้จะมีลูกค้าหนาแน่น อาหารน่ากินและแปลกใหม่ก็ตาม แต่ก็เหมือนการแบ่งแยกชนชั้นว่าเป็นเหลาอาหารของชาวบ้านมากกว่า จึงยังคงเป็นรองเหลาอาหารเฟิงฟู่อยู่ขั้นหนึ่ง

ณ ลานกลางเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการแข่งขันการทำอาหาร บัดนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง เจ้าเมืองได้เดินทางมาเป็นประจักษ์พยาน นอกจากนั้นยังมีหนิงอ๋อง อ๋องน้อยหนิงเทียน อาจารย์เทียน และพ่อครัวหลวงบางคนที่ท่านเจ้าเมืองได้เชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองไห่ถัง

ทางด้านคณะกรรมการผู้รับผิดชอบตัดสินนั่งเรียงรายอยู่บนปะรำพิธีที่สามารถมองเห็นการทำอาหารของทั้งสองฝั่งได้อย่างชัดเจน ชาวบ้านยืนโดยรอบเพื่อรอชมการแข่งขันเช่นเดียวกัน การแข่งขันเริ่มขึ้นในยามซื่อ (09.00 – 10.59) และจะสิ้นสุดลงที่ยามเว่ย (13.00 – 14.59) เมื่อหมดเวลา ให้นำอาหารส่งที่คณะผู้รับผิดชอบตัดสินหรือเมื่อทำเสร็จก่อนสามารถส่งอาหารที่ปรุงแล้วนั้นได้เลย

“พี่ชายหมินเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างตามที่ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามอู๋หมินขณะที่ตัวแทนฝ่ายเหลาอาหารซิ่งฝูกำลังเดินไปที่ประรำพิธีทางฝั่งของตนเอง

“เรียบร้อยแล้วขอรับคุณชายน้อย ไม่มีอันใดผิดพลาดแม้แต่อย่างเดียว พวกเราฝึกปรือฝีมือมากว่าหนึ่งเดือน พวกข้าจะทำให้เต็มที่ขอรับ” อู๋หมินเอ่ยตอบด้วยความมั่นใจมิมีความกังวลแม้แต่น้อย เพราะเขามั่นใจในตัวนายน้อยคนนี้จนถึงที่สุด

“ฮะ ฮะ ฮะ เหลาอาหารซิ่งฝูไร้ซึ่งฝีมือถึงขนาดให้เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบปีร่วมทำอาหารแล้วเช่นนี้หรือ” เกาจ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นตัวแทนของเหลาอาหารซิ่งฝู ซึ่งประกอบไปด้วยจางอี้หมิงที่เป็นเด็กเพียงคนเดียว

“เกาจ้าน หากไม่พูดมิมีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” หลินไห่ชี้หน้าคู่แข่งพลางส่งเสียงตอบด้วยอาการหน้าแดงเข้มขึ้นเล็กน้อย

“ข้ามิอยากได้ชื่อว่ารังแกเด็กน้อย ทว่าการแข่งขันก็คือการแข่งขัน ผลออกมาเป็นเช่นไรพวกเจ้าคงต้องได้แต่เพียงยอมรับเท่านั้น จะมาหาว่าข้ารังแกเด็กมิได้” คราวนี้เป็นเล่อหยุน อดีตพ่อครัวหลวงที่ผันตนเองออกมาอยู่ที่เมืองหน้าด่านเช่นนี้ เขามีลักษณะของความถือตนและหยิ่งยโสตามประสาคนที่ได้เคยทำงานในเมืองหลวงและในพระราชวัง

“ข้าน้อยจะมิกล่าวโทษอันใดเลยขอรับ เป็นข้าที่ไม่ประมาณตนเอง ขอท่านอาวุโสอย่าได้ออมมือ” จางอี้หมิงเอ่ยตอบพลางยกมือคารวะอย่างมากมารยาท ประโยคเช่นนี้ถึงกับทำให้เล่อหยุนออกอาการโกรธจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่เขาจะระงับโทสะเอ่ยตอบเด็กน้อยตรงหน้า คู่แข่งของตนเองด้วยใบหน้ายิ้มเย็น

“ดี เจ้าตอบได้ดี ขอให้รักษาความหยิ่งทะนงเช่นนี้ต่อไปให้ดีเล่า ข้าจะไม่ออมมือให้เจ้าเด็ดขาด”

“รับทราบขอรับ” จางอี้หมิงยกมือคารวะอีกครั้งก่อนที่จะหันหลังเดินไปประจำยังพื้นที่ของเหลาอาหารซิ่งฝูอีกครั้ง

“หมิงหมิงน้อย เจ้าว่ารายการอาหารของเราจะสู้เหลาเฟิงฟู่ได้จริงเช่นนั้นหรือ” เป็นอู๋เจ๋อที่เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านลุงอู๋เชื่อใจข้าหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงกระซิบถามเสียงเบา

“ข้าต้องเชื่อใจเจ้าอยู่แล้วสิ เหลาอาหารซิ่งฝูประสบความสำเร็จได้มากถึงขนาดนี้ก็เพราะความคิดของเจ้าทั้งนั้น ไม่มีเหตุอันใดที่ข้าจะกังขาในความสามารถของเจ้า” อู๋เจ๋อกระซิบตอบเช่นเดียวกัน

“เช่นนั้นท่านลุงอู๋ พี่ชายหมินและพี่ ๆ ทั้งหลายเพียงทำตามที่พวกเราฝึกมาก็พอขอรับ จำไว้ว่าในช่วงหนึ่งชั่วยามสุดท้ายจะต้องทำเวลาให้ได้ตามที่เราฝึกปรือฝีมือกันไว้ หาไม่แล้ว เราคงไม่สามารถคว้าเหลาอาหารอันดับหนึ่งมาได้” จางอี้หมิงเอ่ยกระชับความกับฝ่ายตนเองอีกครั้ง

“วันนี้นับเป็นวันแห่งความรื่นเริงยินดีของเมืองไห่ถัง ข้าขอให้ทุกคนจงมีแต่ความสุขและสนุกสนานให้เต็มที่ในช่วงเวลาทั้งเจ็ดวันต่อจากนี้ สำหรับวันนี้เชิญพวกเรามาให้กำลังใจกับเหลาอาหารทั้งสอง ว่าเหลาอาหารใดจะได้เป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง บัดนี้ได้เวลาแล้ว เทศกาลประจำปีเมืองไห่ถังเริ่มต้นขึ้นได้”

ทุกคนเงียบเสียงลง เมื่อท่านเจ้าเมืองลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวเปิดงานเทศกาลประจำปีของเมืองไห่ถึงขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากจบประโยคสุดท้ายแล้ว ชาวเมืองจึงส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีเซ็งแซ่ จางอี้หมิงหันไปมองลูกมือทางฝั่งของตนเองอย่าเชื่อมั่น เด็กน้อยแย้มรอยยิ้มกว้าง จับชายแขนเสื้อตนเองขึ้นอย่างทะมัดทะแมง

ตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งต้องเป็นของเหลาอาหารซิ่งฝูเป็นแน่

ทุกท่านเชื่อมือจางอี้หมิงคนนี้ได้เลย...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ