ตอนที่ 66 อาหารแทนข้าว

เช้าวันนี้หิมะละลายไปมากแล้วแต่ก็ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ ชาวบ้านมารวมตัวกันที่ลานหมู่บ้านอีกครั้งเพื่อฟังผลการไปแจ้งแก่ท่านเจ้าเมืองของหัวหน้าหมู่บ้านและจางอี้เทา เหล่าฮูหยินแยกตัวไปเก็บหญ้าสายรุ้งมาทำซุปอีกเช่นเคย ถึงแม้ว่าจะไม่มีเครื่องเทศหรือเครื่องปรุงใส่แล้ว แต่นั่นยังดีกว่าดื่มน้ำเปล่า

จางอี้เทาตื่นเช้ามาด้วยอาการเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มใบหน้าของเขาซูบผอม ดวงตาเหนื่อยล้า จนจางอี้หมิงตกใจที่เห็นสภาพของบิดาในเช้านี้ เด็กน้อยอยากจะขอให้ท่านพ่อไปนอนพักอีกสักหน่อย แต่ก็จนใจเพราะต้องรีบไปร่วมประชุมที่ลานหมู่บ้าน

หลี่อ้ายและนางหูเองก็อาการดีขึ้นมากแล้ว สะใภ้จางจึงให้นางหูรออยู่ที่บ้าน ตนเองจะไปรับอาหารมาส่งให้มารดาสามีเอง

“ทุกคนคงได้กินซุปแล้ว หากยังหิวก็กินบ่อย ๆ เอาเถอะนะ” ซุนถงลุกขึ้นพูดแล้วเริ่มอธิบายต่อ

“เมื่อวานนี้ข้ากับอาเทาได้เข้าไปแจ้งเรื่องโจรที่ปล้นหมู่บ้านของเราให้ท่านเจ้าเมืองรับทราบไว้แล้ว และยังขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ในเมืองไห่ถังก็เกิดเหตุการณ์โจรปล้นและอาหารขาดแคลนมิต่างอันใดกับหลาย ๆ หมู่บ้าน ดังนั้นในตอนนี้สิ่งที่พวกเราสมควรทำคือการช่วยเหลือตนเองเพียงเท่านั้น”

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เช่นนี้เราจะทำเช่นไรกันดีขอรับ” ชาวบ้านคนหนึ่งร้องตะโกนถามด้วยความวิตกกังวล สีหน้านั้นไม่ดีแม้แต่น้อย

“เช้าวันนี้เรายังมีซุปสายรุ้งให้กิน ถึงแม้ว่าต้นหญ้าสายรุ้งมีให้เราทำซุปไปตลอดทั้งเดือน แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เราจะมีแรงทำงานได้เช่นไร” ชาวบ้านที่มาประชุมร่วมกันอีกคนเอ่ยถามต่อ

“เราต้องหาอาหารที่อิ่มท้องมากกว่าซุป และเริ่มลงมือเพาะปลูกให้เร็วที่สุด” ซุนซูเย่เป็นผู้ตอบคำถามนี้

“ท่านพี่เย่ หากจะเริ่มลงมือเพราะปลูกได้ไวสุดก็ต้องรอให้หิมะละลายจนหมดก่อน กว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตหลังเพาะปลูกก็อีกหลายเดือน กว่าจะถึงเวลานั้นพวกเรามิตายกันก่อนหรือขอรับ ปีใหม่ที่ผ่านมา หมู่บ้านเราก็หาได้มีการจัดงานหรือทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษไม่ ฤดูหนาวปีนี้ช่างเลวร้ายจริง ๆ ข้านึกว่าผ่านฤดูหนาวมาแล้วจะดีขึ้น” ชายอีกคนแสดงความคิดเห็น

“ใช่มันเลวร้ายจริง ๆ แต่พวกเราอย่าเพิ่งถอดใจ ข้าว่าทางการคงพอมีความช่วยเหลือบ้าง เพราะถนนหนทางรวมถึงการสัญจรดีขึ้นแล้ว เช่นไรอีกห้าหกวันข้าจะเข้าเมืองอีกครั้งหนึ่ง ไม่แน่ว่าเมืองหลวงอาจจะส่งเสบียงอาหารมาช่วยเหลือพวกเราชาวบ้านบ้างก็เป็นได้” ซุนถงเอ่ยสรุปและให้กำลังใจลูกบ้าน

“อย่าลืมว่าระหว่างนี้ที่ยังไม่มีความช่วยเหลือใด ๆ พวกเจ้าแต่ละบ้านคงรู้วิธีการทำซุปสายรุ้งกับหอยหินต้มซุปแล้ว เช่นนั้นก็ไปเก็บมาทำกินไปก่อน หากมีข่าวความคืบหน้าข้าจะเรียกประชุมอีกที”

ซุนถงเอ่ยย้ำให้ลูกบ้านรับรู้อีกครั้ง เพราะเมื่อวานทุกบ้านมาทำอาหารร่วมกันที่ลานหมู่บ้านแห่งนี้ ตอนนี้เมื่อรู้วิธีการทำอาหารแล้วจึงให้แต่ละบ้านหากินกันเอง

“ท่านลุงเย่ พวกเราก็ไปกันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงกระตุกแขนเสื้อซุนซูเย่ที่ยืนเตรียมความพร้อมอยู่ก่อนแล้วกับชายอีกห้าคนชุดเดิมเมื่อวาน แตกต่างจากวันนี้ที่จะมีจางอี้เทาร่วมเดินทางไปด้วย

“ไปกันเถอะ”

ซุนซูเย่เอ่ยตกลงแล้วจึงเดินนำทุกคนมุ่งหน้าไปยังภูเขาดงดอกไม้ที่ว่า พวกเขาใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วยามจึงไปถึง ด้วยไม่ใช่เส้นทางสำหรับสัญจรตามปกติของชาวบ้าน ทุกคนจึงเสียเวลามากกว่าเวลาปกติในการช่วยกันแผ้วถางหญ้าเพื่อทำเป็นทางเดิน

“สวยจังเลยขอรับท่านพ่อ”

จางอี้หมิงอุทานขึ้นมาด้วยความยินดี ภาพดงดอกไม้ที่กำลังแตกหน่อและโผล่พ้นหิมะขึ้นมาแบ่งบานหลากหลายสีช่างจรรโลงใจ จากที่เขาสังเกตเห็นมันคือดอกทิวลิปและดอกลิลี่ มีหลายสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นลิลี่ที่ต้นเตี้ยติดดินหรือต้นสูงเหนือเข่าขึ้นไป มีทั้งแบบที่มีแต่ต้นยังไม่มีดอก หรือมีดอกแล้วแต่ยังไม่ผลิบาน รวมทั้งส่วนที่บานไปแล้วด้วย

ในโลกเดิมดอกทิวลิปหรือดอกลิลี่มักจะเจริญเติบโตและพร้อมผลิดอกในฤดูใบไม้ผลิ

เอ้! แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้ก็เป็นฤดูไม้ไม้ผลิแล้วนี่นา หรือเป็นเพราะฤดูหนาวที่ลากยาวนานออกไปจึงทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต

การที่ดอกไม้เหล่านี้ออกดอกปะปนไม่แยกพันธุ์และชนิด มองคล้ายดังประติมากรรมที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้นมา ดอกไม้งามที่แข็งแกร่งแม้แต่หิมะก็หาทำอันใดได้

“หมิงเอ๋อร์ มันสวยมาก แต่เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่นชมความงามของดอกไม้นะ” จางอี้หมิงเตือนบุตรชาย

“หมิงหมิงน้อย เจ้าเห็นทุ่งดอกยู่จินเชียง (ดอกทิวลิป) กับไป๋เหอฮวา (ดอกลิลี่)แล้ว คิดเห็นเป็นเช่นไรบ้าง” ซุนซูเย่เอ่ยถามเด็กน้อยซึ่งเป็นความหวังเดียวของชาวบ้านในตอนนี้

ชายชาวบ้านทั้งห้าคนก็ตั้งใจฟังคำตอบของเด็กชายตัวน้อยคนเดียวของกลุ่มด้วยเช่นกัน พวกเขามองใบหน้าน่ารักสลับกับทุ่งดอกไม้อย่างมีความหวัง

“ท่านพ่อ ท่านลุงเย่ ปกติแล้วพวกชาวบ้านทำเช่นไรกับดอกไม้พวกนี้ขอรับ”

“ดอกไม้ก็คือดอกไม้ เหตุใดต้องถามว่าเอาไปทำอันใดเล่า หมิงหมิงน้อย” ซุนซูเย่ถามกลับอย่างสงสัย

“ปลูกเป็นสวนดอกไม้ประดับ พ่อเคยเห็นในเมืองหลวง” จางอี้เทาเป็นคนตอบคำถามบุตรชาย

“เฮ้อ! คงล้มเหลวอีกตามเคย พวกเราไม่น่าเสียเวลาเลย ทั้งที่รู้ว่าเป็นดอกไม้ เหตุใดข้าถึงได้ตามเจ้ามาดูกันนะ และยังแบกเสียมมาให้หนักอีกด้วย” ซุนซูเย่เปรยกับตนเองพลางเตรียมตัวหันหลังเดินทางกลับบ้าน ชายชาวบ้านห้าคนเห็นผู้นำทำท่าทางเช่นนั้นจึงเตรียมตัวกลับด้วย

“ท่านลุงเย่ขอรับ จะไม่เอาอาหารแล้วหรือขอรับ” จางอี้หมิงเห็นท่านลุงทั้งหลายทำสีหน้าผิดหวังและเตรียมตัวจะกลับจึงเอ่ยทักขึ้น

“เอ๊ะ! เจ้าว่าอันใดนะ สิ่งใดคืออาหารเล่า ข้าเห็นมีแต่ดอกไม้ทั้งนั้น” ชายชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นและขมวดคิ้ว

เขามองผ่านจางอี้หมิงไปยังทุ่งกว้างแล้วก็มองเห็นแต่ดอกไม้ ไม่เห็นอะไรที่พอจะเป็นอาหารได้เลย

“ก็ตรงหน้าทั้งหมดนี่แหละขอรับคืออาหารของพวกเรา”

“ดอกไม้เช่นนั้นหรือ ไม่เคยมีใครเอาดอกไม้มาทำอาหารนะ หมิงหมิงน้อย” ชายชาวบ้านอีกคนแย้ง

“ท่านลุง เหตุใดดอกไม้ทั้งสองอย่างจะเอาไปทำเป็นอาหารไม่ได้เล่าขอรับ นอกจากนี้กลีบของดอกไป๋เหอฮวายังเอาไปทำเป็นชาได้อีกด้วย แต่สิ่งที่พวกเราต้องการหาใช้กลีบดอกไม้ไม่ มันคือหัวของดอกไม้ทั้งสองอย่างที่อยู่ในดินต่างหากเล่าขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้ทุกคนฟัง

“โอ้ ข้ามิรู้มาก่อนว่าพวกมันกินได้” ชายชาวบ้านคนหนึ่งว่า

“หัวของดอกไม้ทั้งสองเอามากินได้ขอรับ มันทำให้อิ่มท้องมากกว่าซุปสายรุ้ง หรือหอยหินซุปเสียอีก มันใช้แทนหัวมันต่าง ๆ ได้ ขอรับ ตอนนี้จนใจที่พวกเรายังหามันเทศและหูหลัวโปไม่พบ พวกเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าต้นมันเทศ หูหลัวโปขึ้นอยู่ตรงไหนบ้างจนกว่ามันจะเจริญเติบโตมีเถาของมันแล้ว เพราะหิมะยังละลายไม่หมด คงเป็นไม่ได้ที่จะไล่สุ่มขุดไปทั้งภูเขา สุดท้ายอาจจะหาไม่เจอก็เป็นได้

อีกหนึ่งเหตุผล กว่าต้นมันป่าต่าง ๆ จะแตกกอมีเครือให้เห็นต้นก็ใช้เวลานานหลายเดือน ระหว่างนี้พวกเราคงต้องกินหัวของต้นดอกไม้พวกนี้แทนไปก่อนขอรับ”

“หมิงหมิงน้อย เหตุใดเจ้าถึงรู้เล่าว่าหัวของมันกินได้” ซุนซูเย่เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย ตัวเขาอายุมากกว่าเด็กน้อยตั้งกี่สิบปี เห็นดอกไม้พวกนี้มาตลอดชีวิต แต่หาได้มีความรู้ที่เพิ่งได้รับฟังมาไม่

“เออ เอ่อ...”

แย่แล้ว... จางอี้หมิงจะตอบได้เช่นไรว่าได้มาจากอินเตอร์เน็ต

“หมิงเอ๋อร์ นี่เจ้าแอบอ่านตำราของพ่อใช่หรือไม่” จางอี้เทาเห็นบุตรชายไปไม่เป็นเช่นนี้จึงได้คิดแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้บุตรชายอย่างทันท่วงที

“ทะ ท่านพ่อ ชะ ใช่แล้วขอรับ ข้าขอโทษขอรับที่อดทนแอบอ่านไม่ได้ เป็นเพราะตำรานั่นน่าสนใจนี่ขอรับท่านพ่อ มันมีเรื่องราวมากมายเต็มไปหมดที่ข้าไม่เคยได้เห็นมาจากตำราของเมืองเรา” จางอี้หมิงเอ่ยตอบบิดาตะกุกตะกัก แสดงบทเด็กน้อยถูกจับได้

เนียนหรือไม่นั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจ แต่ท่าทางหวั่นวิตกราวคนปล่อยไก่ออกมาเมื่อครู่นี้แนบเนียนมากแน่นอน

“ตำราอันใดหรืออาเทา เหตุใดหมิงหมิงน้อยถึงได้สนใจถึงเพียงนั้น” ซูเย่เอ่ยถามอย่างสงสัย

ตำราใดกันที่จดบันทึกความรู้แปลกประหลาดพวกนี้ไว้ทั้งหมด นี่ชาวเมืองหลวงฉลาดถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“มันเป็นตำราของข้าที่ได้มาจากพ่อค้าเร่นอกด่านขอรับ เป็นตำราที่เหล่านักพเนจรท่องเที่ยวไปในโลกหล้า บันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเราไม่รู้ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นเกลือผัก น้ำตาลผัก หรืออีกหลายสิ่งหลายอย่างต่างเป็นความรู้มาจากตำราเหล่านั้นทั้งหมดขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบหน้าตาย หาได้มีความประหม่าในสิ่งที่เขากำลังเอ่ยออกไปไม่

ท่านพ่อ ท่านก็แสดงละครเก่งมิเบานะขอรับ

จางอี้หมิงเอ่ยชมในใจ ถ้าหากว่ามีแมวมองมาปลุกปั้นอย่างในโลกปัจจุบัน รับรองว่าออสการ์ไม่ไกลเกินเอื้อม

“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง แล้วเจ้าได้อ่านตำรานั้นบ้างหรือไม่อาเทา” ซุนซูเย่เอ่ยถามต่ออีกครั้ง

“ข้าหาได้อ่านตำรานั้นไม่ท่านพี่ซุนเย่ เหตุเป็นเพราะข้าได้ตำรามาในขณะที่กำลังยุ่งเกี่ยวกับการจัดสอบในสถานศึกษา กะว่าเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะกลับไปอ่าน ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องกับบ้านข้าขึ้นเสียก่อน แต่หมิงเอ๋อร์ที่ยังไม่ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาแอบเอาไปอ่านเองถึงได้มีความรู้มากมายและแปลกประหลาดเช่นนั้น”

จางอี้เทาตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ อีกครั้งและเพื่อเป็นการป้องกันความสงสัยของชาวบ้านในอนาคตถึงเรื่องที่เหตุใดเด็กน้อยตัวเท่านี้ถึงได้มีความรู้มากมายนัก

“เอาล่ะ เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว อย่าได้ตำหนิลูกชายเจ้าเลย ถือว่าหมิงหมิงน้อยทำความดีความชอบต่างหากเล่า หากไม่ได้ความรู้จากตำราพวกนั้น พวกเราก็คงแย่แล้ว” ซุนซูเย่เอ่ยสรุปความ ส่งผลให้สองพ่อลูกบ้านจางหันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“หมิงหมิงน้อย พวกข้าต้องทำเช่นไรบ้าง” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

“จากที่ข้ามองไปนี้พวกเรามีหัวดอกไม้เพียงพอให้ทั้งหมู่บ้านได้เก็บกินจนกว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่านเจ้าเมือง แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นหากใช้ประหยัดหน่อย กินเพียงวันละหนึ่งมื้อ อีกหนึ่งมื้อทำซุปกิน คงเพียงพอให้ชาวบ้านกินได้จนกว่าจะหาอาหารในป่า

แต่ว่าต้องมีการวางแผนการขุดนะขอรับ ขอท่านลุงเย่ตั้งใจฟังให้ดี เราจะทำการเก็บกลีบดอกไม้ทั้งสองชนิดแยกกันให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจึงทำการขุดหัวขึ้นมา

เราจะขุดเป็นหน้ากระดานเหมือนกับการเก็บต้นหญ้าหวาน ขุดเอาเฉพาะหัวที่โตแล้ว ที่ยังเล็กให้เก็บไว้ พยายามอย่าให้หัวเล็ก ๆ เป็นแผลจากเสียม ท่านลุงเข้าใจหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายรวดเดียวจบและเอ่ยถามทุกคนว่าเข้าใจหรือไม่

เมื่อเห็นทุกคนพยักหน้ารับแล้วเด็กน้อยจึงยิ้มให้กับทุกคน

“เช่นนั้นพวกเราก็มาลงมือกันเถอะ อย่างน้อยวันนี้ชาวบ้านจะได้กินอิ่มสักมื้อ” ซุนซูเย่เอ่ยปลุกกำลังใจ

พวกเขาร่วมด้วยช่วยกัน จางอี้หมิงและชาวบ้านชายอีกสองคนเป็นผู้เก็บกลีบดอกไม้ ชายที่เหลือทำการขุดเอาหัวของต้นดอกไม้ทั้งสองชนิดออกมา

“หมิงเอ๋อร์ นี่คือหน้าตาของหัวยู่จินเซียงเช่นนั้นหรือ”

จางอี้เทาชูหัวดอกยู่จินเซียงให้บุตรชายได้ดูพลางเอ่ยถามขึ้น เขาเกรงว่าจะขุดขึ้นมาผิดและอีกหนึ่งเหตุผลอยากให้บุตรชายเปรียบเทียบหัวของดอกไม้นี้เหมือนที่เมืองสวรรค์หรือไม่

“โอโห้ ท่านพ่อมันใหญ่กว่าในหนังสือมากเลยขอรับ เช่นนี้พวกเราจะได้กินให้อิ่มไปเลย”

“หมิงหมิงน้อย หัวของดอกไป๋เหอฮวา มันแตกต่างจากหัวของดอกยู่จินเซียงมากเลย” ซุนซูเย่ชูหัวของดอกลิลี่ให้จางอี้หมิงได้ดูบ้าง

“ท่านลุงเย่ ใช่แล้วนั่นคือหัวของดอกไป๋เหอฮวาขอรับ มันจะมีขนาดใหญ่กว่ายู่จินเซียงมาก กลีบของหัวก็จะใหญ่กว่าขอรับ” จางอี้หมิงเมื่อเห็นหัวของดอกไม้ทั้งสองจึงมั่นใจว่ามันคือดอกลิลี่และทิวลิปเหมือนกับในโลกที่เขาจากมากแน่นอน และยังโชคดีที่มันมีขนาดใหญ่กว่าปกติเสียหลายเท่าตัว

ผ่านไปหลายชั่วยาม เสียงตกใจของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นเรียกให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองและผละไปหาชายคนนั้นทันที ด้วยกลัวว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับชายคนดังกล่าว

“ดูสิ หัวอันนี้ที่ข้าขุดขึ้นมาเหตุใดถึงไม่เหมือนกับหัวของยู่จินเซียงกับไป๋เหอฮวาเล่า”

“นั่นสิ จากที่ข้ามองไปทั้งทุ่งนี้มันมีดอกไม้แค่เพียงสองชนิดนี้เท่านั้น ไม่เห็นดอกไม้ชนิดอื่นหรือพืชชนิดอื่นเช่นกัน” จางอี้เทาเอ่ยขึ้นพลางหันหน้าไปมาคล้ายกำลังมองหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่

จางอี้หมิงไม่ได้ฟังพวกผู้ใหญ่คุยกัน เด็กน้อยนั่งลงยอง ๆ มองไปยังหัวที่วางอยู่บนพื้น ชาวบ้านคนนั้นขุดขึ้นมาวางไว้แล้ว มันมีลักษณะเป็นแท่งยาวกลม มีความยาวเฉลี่ยประมาณหนึ่งไม้บรรทัด

จางอี้หมิงถึงกับตาโต เกือบลืมหายใจเมื่อค้นความจำในสมองแล้วรู้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของตนนั้นมันคือสิ่งใด

ท่านเทพยังไม่ได้ทอดทิ้งเขาจริงๆ !

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ