เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ท่านลุงอู๋เจ๋อเริ่มทำการปรุงอาหารของเหลาอาหารซิ่งฝูทันที โดยรายการอาหารที่จางอี้หมิงเลือกใช้ในการแข่งขันนี้คือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง
เนื่องจากอู๋เจ๋อฝึกการทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งมาตลอดหนึ่งเดือนนี้จึงมั่นใจว่าตนทำได้ดี แต่เมื่อต้องมาทำต่อหน้าเหล่าชาวบ้านชาวเมือง เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยให้กำลังใจท่านลุงอู๋อีกที
“ท่านลุงอู๋ ไม่ต้องตื่นเต้นนะขอรับ ทำตามที่เราฝึกกันมา ท่านลุงอู๋เก่งอยู่แล้ว ท่านทำได้แน่นอน”
“หมิงหมิงน้อย การทำอาหารชนิดนี้มันยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ข้ากลัวว่ามันจะสู้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำปักษาล่องลมเชียวนะ แล้วไข่ม้วนของเราจะสู้ได้หรือไม่”
อู๋เจ๋อเปรยออกมาเบา ๆ หากเขาเป็นกรรมการก็คงให้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ชนะเช่นกัน
“ท่านลุงอู๋มิเชื่อฝีมือข้าหรือขอรับ พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทั้งปลอบใจและให้กำลังใจไปด้วยในคราเดียว
ในการทำไข่ม้วนสิ่งสำคัญคือการม้วนไข่ไม่ให้ขาดและไม่ติดหม้อ หากเป็นในยุคปัจจุบันอี้หมิงจะไม่มีความกังวลเลย แต่ว่าในยุคนี้ยังไม่มีการใช้น้ำมันมาทำการประกอบอาหาร หม้อหรือกระทะเทปลอนนั้นลืมไปได้เลย ที่ผ่านมาท่านลุงอู๋ปรุงอาหารด้วยการผัดโดยน้ำมันหมู แต่ทว่าครั้งนี้หาใช่น้ำมันจากสัตว์ไม่ เป็นน้ำมันจากต้นลูกหนามต่างหากเล่า ดังนั้นเขาจึงต้องฝึกอย่างมาก จางอี้หมิงต้องวางตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคนให้ทำงานแข่งกับเวลา เนื่องจากหากทำเสร็จแต่ว่าไม่ทันเวลา ก็หมดสิทธิ์ชนะเช่นกัน
การทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งต้องทำสองขั้นตอน จางอี้หมิงจึงจัดให้พ่อครัวคนหนึ่งทำข้าวผัดกุ้งแล้วส่งให้กับอู๋เจ๋อนำมาทำไข่ม้วน
จางอี้หมิงเริ่มทำน้ำมันจากต้นลูกหนามในกลุ่มการค้าหลัวถงมาได้หนึ่งเดือนแล้ว การทดลองรวมทั้งการผลิตถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเขาจึงคิดรายการอาหารนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการกระจายสินค้า ทำการประชาสัมพันธ์น้ำมันจากต้นลูกหนามไปในตัว เขาไม่ต้องกังวลในส่วนของลูกหนามดิบแล้ว เนื่องจากมีการรณรงค์ปลูกต้นลูกหนามเพื่อใช้ทำการผลิตถ่านส่งให้กับกองกำลังเหลียงอันด้วย
ไม่ว่าจะทางไหน เขาก็ได้กำไรทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่ามิสามารถคว้าตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งมาได้ ท่านปู่เองก็บอกกับเขามาแล้วว่า ตำแหน่งเป็นเพียงสิ่งหลอกตาเท่านั้น ความสุขของทุกคนต่างหากคือความจริง นั่นทำให้เด็กน้อยเบาใจไปได้มากโข
อู๋หมินรับรู้ถึงหน้าที่ของตนเองในการทำไข่เจียวเปล่า ๆ มีพ่อครัวคนหนึ่งทำหน้าที่ตีไข่ไก่ลงในชามปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปรุงรสจากหอยหิน ก่อนที่จะยื่นให้อู๋หมินเป็นคนทำไข่เจียวต่อไปเสร็จแล้วพ่อครัวอีกคนจะนำไข่เจียวไปห่อข้าวที่ปั้นไว้ทาเคลือบไข่เจียวด้วยน้ำปรุงรสมะเขือเทศ ปิดท้ายด้วยแตงกวาฝาน ก่อนจะกลัดด้วยไม้ที่เรียวเล็กคล้ายไม้จิ้มฟันในสมัยปัจจุบัน
จางอี้หมิงทำซูซิญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันแล้วดัดแปลงให้เขากับยุคนั้น เพียงแต่เขาหาสาหร่ายไม่ได้ จึงใช้ไข่เจียวและแตงกวาฝานแทนสาหร่ายนั่นเอง
“พี่ชายอาตงเร่งมือหน่อยขอรับ เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว พี่อาตงดูชาวบ้านสิขอรับ มีเยอะจนไม่รู้ว่าเราจะแจกอาหารได้ทุกคนหรือไม่” จางอี้หมิงเอ่ยเร่งพ่อครัวในกลุ่มพลางพยักพเยิดใบหน้าไปทางเหล่าชาวเมืองที่มาร่วมชมการแข่งขัน
“คุณชายน้อย เหตุใดเราต้องทำแจกทุกคนเล่าขอรับ ข้าก็เร่งมือจนเวียนหัวแล้วขอรับ” อาตงพ่อครัวของเหลาซิ่งฝูร้องโอดโอยขึ้นมา เขาทำอาหารมือเป็นระวิงจนไม่ได้หยุดพักแล้ว
“อาตง เจ้าจะบ่นให้ได้อันใดขึ้นมา ท่องไว้เพื่อตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง” อู๋หมินเอ่ยเตือนเพื่อนพ่อครัวด้วยกัน
จางอี้หมิงเขาเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อปรุงอาหารมิได้ จึงมีหน้าที่นำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งที่ม้วนเสร็จแล้วมาตัดเป็นชิ้นและนำข้าวปั้นไข่สามรสที่เรียบร้อยแล้วมาใส่ลงไปในกระทงใบไม้ แบ่งเป็นไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งสองชิ้นและข้าวปั้นไข่สามรสสามชิ้น จัดวางเรียงกันบนโต๊ะจนไม่มีพื้นที่ว่าง
“พวกเจ้าก็อย่าเอาแต่คุยกัน รีบทำเร็วเข้าตามที่หมิงหมิงน้อยบอก” อู๋เจ๋อหันมาเอ่ยเตือนบรรดาลูกน้องที่กำลังคุยกัน เนื่องจากพวกเขายังต้องทำงานแข่งกับเวลา พ่อครัวเหลาซิ่งฝูที่สาละวนง่วนอยู่กับการปรุงอาหารบนเวทีจึงจดจ่ออยู่กับการทำอาหาร จนไม่สังเกตเห็นถึงความชุลมุนที่เกิดขึ้นบนพื้นล่างเวทีในส่วนของชาวเมืองที่มาร่วมชมการแข่งขันแม้แต่น้อย
“สามี ท่านว่าพ่อครัวเหลาซิ่งฝูกำลังทำอันใด ข้ามิเคยเห็นการทำอาหารเช่นนี้มาก่อนเลย”
“เหตุใดเหลาอาหารซิ่งฝูถึงทำอาหารมากมายเช่นนั้นเล่า”
“ข้าจะเป็นลมเพราะหิวแล้ว อาหารอันใดถึงได้มีกลิ่นหอมเช่นนี้”
“มิน่าเชื่อว่าอาหารที่มีกลิ่นหอมเช่นนี้จะทำมาจากไข่”
และคำวิพากษ์วิจารณ์อีกมากมายที่ดังไปทั่วลานกลางเมือง จนท่านเจ้าเมืองถึงกับต้องให้ทหารมาช่วยทำให้ชาวบ้านเงียบเสียงลง เพราะอาจจะไปรบกวนการทำอาหารของผู้เข้าร่วมการแข่งขันได้
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของจางอี้หมิงทุกอย่าง กลยุทธ์นี้จางอี้หมิงอ่านเจอในนิทานพื้นบ้านท้องถิ่นของภาคอีสาน เขาจึงนำมาปรับใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของพ่อครัวหลวงนั้นเย่อหยิ่งและเขาจะต้องเร่งทำอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วก็เป็นไปตามที่จางอี้หมิงคาดไว้ เหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมเสร็จตั้งแต่ต้นยามอู่ (11.00 – 12.59) ซึ่งคณะผู้ตัดสินต่างก็อิ่มอาหารจากที่บ้านมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงชิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จางอี้หมิงจึงให้พ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมในช่วงเวลานั้น คล้ายกับการขยับเวลาออกไป เมื่อเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหาร ในชาติก่อนแค่เพียงไข่เจียวธรรมดา ถ้าต้องมาได้กลิ่นในยามที่หิวจัด กลิ่นของไข่เจียวก็หอม กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้มากโข จางอี้หมิงจึงใช้ความจริงข้อนี้มาทำให้เกิดข้อได้เปรียบของเหลาซิ่งฝู
แม้แต่แขกผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกับความอดอยาก พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเสียจนเลยเวลามื้ออาหารกลางวันมาถึงยามเว่ยแล้ว ความหิวจึงมาเยือนได้ง่าย พอถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นไข่เจียวร้อน ๆ ก็ใช่ว่าจะอดทนได้
นับประสาอันใดกับชาวบ้านที่กินข้าววันละสองมื้อ เพราะในตอนนี้ก็เลยเวลาอาหารมื้อแรกมาสองชั่วยามแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้คำตอบว่ากลิ่นของไข่เจียวจะส่งผลกับความอยากอาหารของชาวบ้านชาวเมืองมากแค่ไหน
“เถ้าแก่หลิน หรือนี่จะเป็นกลยุทธ์ของเด็กบ้านจางนั่น ท่านถึงได้ดูไม่เดือนร้อน ท่านดูสิ ข้าไม่นึกเลยว่ากลิ่นอาหารจะทำให้ชาวบ้านปั่นป่วนได้ถึงขนาดนั้น” อาจารย์เทียนหันไปถามเถ้าแก่หลินไห่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะอย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย ท้องของเขาเองก็ร้องออกมาจนทำให้เขาขายหน้ามาตั้งหนึ่งเค่อแล้ว
“อาจารย์เทียน ท่านก็รอดูต่อไปเถอะ นั่นพ่อครัวของเหลาข้าหยุดมือแล้ว” เถ้าแก่หลินไห่ตอบคำถามก่อนจะบุ้ยปากไปทางเวที
บนเวทีจางอี้หมิงบอกให้ทุกคนหยุดมือเมื่อเห็นว่าเหลือเวลาเพียงหนึ่งเค่อ อู๋เจ๋อและอู๋หมินรู้หน้าที่รีบจัดเตรียมจานอาหารที่จะนำไปส่งให้กับคณะผู้ตรวจสอบทันที โดยอู๋เจ๋อนำไปส่งให้กับคณะผู้ตรวจสอบพร้อมกับจางอี้หมิง อู๋หมินนำอาหารไปตั้งโต๊ะให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ ส่วนพ่อครัวที่เหลืออีกสามคนนำกระทงใบไม้ทยอยลงไปแจกให้กับชาวเมืองที่มาเฝ้าชมการแข่งขันได้ทดลองชิมอาหารด้วย
การกระทำเช่นนี้ของเหลาอาหารซิ่งฝูก่อให้เกิดระลอกคำสรรเสริญขอบคุณดังไปทั่วลานเมือง เพราะพวกเขาเหล่าชาวบ้านมัวแต่ตั้งใจดูการแข่งขันจึงมิได้เตรียมอาหารมาด้วย แต่เหลาซิ่งฝูกลับหยิบยื่นอาหารให้กับพวกเขาในตอนที่หิว ราวกับมอบถ่านไม้กลางหิมะให้แก่กัน
“หือ นี่คืออาหารของเหลาซิ่งฝูที่ว่าเลิศรสนักเช่นนั้นหรือ” ผู้ตรวจสอบเอ่ยถามขึ้น
“ขอรับ สิ่งนี้เรียกว่าไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง ทำมาจากข้าวผัดกุ้งแล้วนำมาม้วนด้วยไข่ ตัดให้พอดีคำ ส่วนนี่เรียกว่า ข้าวปั้นไข่สามรส ซึ่งมาจากรสชาติสามอย่าง ได้แก่ความเค็มจากข้าวปั้น ความหวานจากไข่เจียวเพราะผสมน้ำตาลผักลงไปด้วย และความเปรี้ยวจากน้ำปรุงรสมะเขือเทศ โดยมีแตงกวาเป็นตัวตัดความเลี่ยนขอรับ” จางอี้หมิงเป็นผู้เอ่ยตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง
“หือ อันใดเรียกว่าไข่เจียว ข้าเป็นพ่อครัวมาตั้งแต่เด็ก จนหัวขาวโพลนเช่นนี้ยังมิเคยรู้จักมาก่อน” เป็นพ่อครัวคนเดิมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไข่เจียวทำมาจากการทอดไข่ลงบนน้ำมันร้อน ๆ ขอรับ ซึ่งการทอดอาหารด้วยน้ำมันเป็นสิ่งที่เหลาอาหารซิ่งฝูคิดค้นขึ้นมา น้ำมันจากพืชเรียกว่าน้ำมันลูกหนาม เป็นสินค้าของกลุ่มการค้าหลัวถงขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“เจ้าว่าการทอดเช่นนั้นหรือ แล้วเป็นการทำอาหารจากน้ำมันด้วย ข้า...มิเคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน” หนึ่งในคณะตรวจสอบเปรยขึ้นมาบ้าง
“เช่นนั้นข่าวลือที่ว่าเหลาอาหารซิ่งฝูมีรายการอาหารใหม่ ๆ แปลก และไม่เคยมีมาก่อนก็เป็นเรื่องจริงสินะ” หัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบเอ่ยถาม
“ข้าเห็นวิธีการปรุงอาหารของเหลาซิ่งฝูแล้ว ช่างเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก” คณะผู้ตรวจสอบคนหนึ่งกล่าวขึ้นบ้าง
“จะรออันใดเล่า เหตุใดพวกเราไม่ลองชิมอาหารที่ปรุงด้วยวิธีการแปลกใหม่ดูเล่า ไม่รู้ว่ารสชาติจะอร่อยเช่นหน้าตาหรือไม่” เมื่อหัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบเอ่ยเช่นนั้น เหล่าคณะผู้ตรวจสอบทั้งห้าจึงได้ลงมือหยิบไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งและข้าวปั้นไข่สามรสขึ้นชิมทีละชิ้น
“โอ้ ข้าชอบข้าวปั้นไข่สามรสนี่ยิ่งนัก ข้าวนุ่ม มีกลิ่นหอมของไข่ ไข่อันใดนะ” ผู้ตรวจสอบคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นถามไปทางอู๋เจ๋อ
“ไข่เจียวขอรับ เอาไข่ไปทอดในน้ำมัน เรียกว่าไข่เจียวขอรับ” อู๋เจ๋อเอ่ยตอบเสียงดังฟังชัดทันที
“ใช่ ๆ ข้าวนุ่มมีรสเค็มนิด ๆ กลิ่นหอมของไข่เจียวและเจ้าน้ำสีแดงนี้ พอเคี้ยวด้วยกันแล้วรสชาติเข้ากันดีมาก พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่” นอกจากเอ่ยชมด้วยตนเองแล้ว ผู้ตรวจสอบคนนั้นยังหันหน้าไปถามความเห็นจากสหายที่ร่วมตัดสินด้วย แล้วก็ได้รับการพยักหน้าเห็นด้วยโดยพร้อมเพรียงกันกลับมา
การวิจารณ์อาหารของเหลาซิ่งฝูของคณะผู้ตรวจสอบช่างแตกต่างจากการชิมอาหารของเหล่าชาวบ้าน เมื่อชาวเมืองทั้งหลายได้รับกระทงใบไม้ซึ่งข้างในบรรจุอาหารไว้ห้าชิ้นแล้วจึงหยิบขึ้นมากินโดยไม่มีการรักษามารยาทแม้แต่น้อย
“อาหารอันใดอร่อยเช่นนี้ เสียดายยิ่งมีเพียงห้าชิ้น”
“นี่เจ้า พวกเราได้ชิมตั้งห้าชิ้นเหตุใดยังเอ่ยว่าแค่เพียง เหลาซิ่งฝูหยิบยื่นอาหารให้พวกเราได้ทดลองชิม ถึงแม้ว่าจะทำมาจากแค่ไข่ไก่ก็ตาม แตกต่างจากเหลาเฟิงฟู่ยิ่งนัก” ชาวบ้านชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ใช่ ๆ พวกเราเป็นเพียงชาวบ้าน ได้ชิมก็ดียิ่งแล้ว พวกเจ้าจะบ่นไปใย”
“ดูสิเหลาซิ่งฝูยังใจดีแจกน้ำชาผักให้อีกด้วย”
“ข้าเคยชิมน้ำชาผักนี่นะ อร่อยจริง ๆ”
ทางด้านแขกผู้สูงศักดิ์ต่างก็ยิ้มระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเหลาอาหารซิ่งฝูทำอาหารเสร็จทันเวลาที่กำหนด และหลังจากที่ได้ทดลองชิมดูแล้ว พวกเขาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย เป็นเช่นนี้ตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นแล้ว
“พวกเจ้าทุกคนจงเงียบก่อน ต่อไปนี้เป็นเวลาหนึ่งเค่อ ขอให้ท่านผู้ตรวจสอบจงลงคะแนนให้กับเหลาอาหารทั้งสองว่าพวกท่านเห็นว่าใครสมควรได้รับตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังไปครอง
สำหรับชาวบ้านพวกเจ้าคงไม่ลืมวิธีการลงคะแนน พวกเจ้าเพียงนำเงินหนึ่งอีแปะไปหย่อนลงกล่องที่พวกเจ้าคิดว่าสมควรได้เป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง เท่านี้ก็ถือว่าเป็นผู้ร่วมตัดสินแล้วเช่นกัน” ผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองเดินออกมากลางเวทีเพื่อประกาศให้มีการลงคะแนนเกิดขึ้น นับจากนี้เป็นเวลาหนึ่งเค่อ พวกเขาจะได้ทราบว่าตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่งจะเป็นของใคร
ผู้ตรวจสอบเมื่อได้ฟังผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองประกาศเช่นนั้นจึงได้ปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นปักษาล่องลมหรือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งต่างก็ล้วนเป็นอาหารเลิศรสทั้งคู่ พวกเขาต่างถกเถียง งัดเอาเหตุผลมาโต้แย้งกันสารพัด จนคล้ายสถานการณ์จะลุกลามไปใหญ่โต แต่ทางคณะผู้ตรวจสอบต่างก็หยุดการโต้เถียงกันไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำพูดจากทางเบื้องหลังของพวกตน
“เรียนท่านผู้ตรวจสอบ เหลาเฟิงฟู่ขอให้พวกท่านจงตัดสิทธิ์เหลาซิ่งฝูในการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยขอรับ”
เป็นเกาจ้านที่นั่งอยู่ในส่วนของผู้ร่วมชมที่เอ่ยตะโกนขึ้นเสียงดัง เพียงเท่านี้ ทุกคนที่อยู่ในลานเมืองแห่งนี้ถึงกับเงียบเสียงกันลงโดยมิได้นัดหมาย หากมีเข็มสักเล่มหล่นตกพื้นพวกเขาก็คงได้ยินเป็นแน่
เจ้าของเหลาอาหารเฟิงฟู่ยกยิ้ม เขาก้าวเดินเข้ามาอย่างทะนงตน ชายชราปรายตามองเถ้าแก่หลินไห่ที่หน้าขึ้นสีอย่างไม่ยี่หระ เขาไม่มีทางปล่อยให้เหลาอาหารซิ่งฝูขึ้นมาเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งแน่
พวกมันจะต้องไม่มีโอกาสก้าวข้ามเกาจ้านคนนี้ไปได้ เหลาซิ่งฝูต้องอยู่ใต้ชื่อเหลาเฟิงฟู่ตลอดไป...
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?