หลังจากที่ลูกค้ากำลังร่วมกันวิจารณ์อาหารชนิดใหม่อยู่ด้วยความปรองดองนั้น เถ้าแก่เหลาซิ่งฝูก็ปล่อยให้ลูกค้าได้ใช้เวลาในการชิมอย่างเต็มที่ หลินไห่พาคนอื่น ๆ เดินกลับเข้ามาในครัว จางอี้หมิงรีบเดินไปกอดขาอู๋เจ๋อแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาออดอ้อน
“ท่านลุงอู๋ขอรับ ข้าหิวยิ่งนัก ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ท้องของข้าช่างว่างเปล่า หิวจนไส้จะขาดแล้วขอรับ” เด็กน้อยเล่าไป ใช้สองมือบิดท้องไป หน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความเขินอายที่อ้อนขอของกิน
“โอ้ หมิงหมิงน้อย ปู่ขอโทษ ปู่ลืมไปจริง ๆ ว่าเจ้ายังเป็นเด็ก คงหิวไม่น้อย อู๋เจ๋อ รีบทำอาหารให้หลานชายข้าสิ”
หลินไห่ถึงกับตื่นตกใจเมื่อเห็นท่าทางหิวจัดของหลานชาย ท่าทางบ่งบอกว่าถ้าไม่ได้กินข้าวภายในสองเค่อนี้ หลานชายตัวน้อยคงได้หิวตายแน่
“ได้ ๆ ข้าจะรีบไปทำให้เดี๋ยวนี้”
อู๋เจ๋อเดินตรงไปที่เตา แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเด็กชายเรียกไว้เสียก่อน
“ท่านลุงอู๋ ท่านจะทำอาหารอันใดให้ข้าขอรับ แล้วท่านลุงอู๋กับท่านพี่หมิน รวมถึงท่านปู่และคนงานคนอื่น ๆ ได้กินข้าวแล้วหรือยังขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถาม
“อ่า ข้ามัวแต่กังวลกับปัญหาของพวกเจ้าน่าตายข้างนอกนั้นเสียจนลืมกินข้าวไปเลย” หลินไห่บอก
“ข้าก็เช่นกัน” อู๋เจ๋อกกล่าวเสริม
“เช่นนั้นพวกท่านทุกคนก็ยังไม่ได้กินข้าว ใช่หรือไม่” เด็กชายบ้านจางถามย้ำ
หลินไห่ อู๋เจ๋อ อู๋หมินและคนงานในครัวต่างพยักหน้ารับ จางอี้หมิงจึงเอ่ยอีกครั้ง
“ปกติพวกท่านกินอาหารกันอย่างไรขอรับ” สาเหตุที่เขาถามออกไปเช่นนั้น เพราะจากการหาข้อมูลในชาติที่เป็นอานนท์ อาหารของลูกจ้างจะไม่ได้ดีมากเหมือนกับของเจ้านาย ดังนั้นเขาจึงต้องถามเพื่อความแน่ใจ
“คนงานมีอาหารของพวกเขา ทางเหลาซิ่งฝูเลี้ยงอาหารคนงานวันละสองมื้อ” หลินไห่เป็นผู้เอ่ยตอบ
“คนงานกินอาหารจากข้าวหุงได้ไหมขอรับ”
“คนงานกินโจ๊กข้าวฟ่างเป็นอาหารน่ะ” อู๋เจ๋อตอบแทน
“เข้าใจแล้วขอรับ เช่นนั้นข้าขอฟักทองสักเล็กน้อยได้หรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงอยากให้เหล่าคนงานได้กินอาหารดี ๆ สักครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กินข้าวหุง กินเป็นโจ๊กข้าวฟ่างปรุงรสก็ยังดี
“เป็นรายการอาหารชนิดใหม่ ใช่หรือไม่หมิงหมิงน้อย” อู๋เจ๋อตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอาหารชนิดใหม่หรือไม่ เพียงแต่ข้าว่าคนงานของเหลาอาหารสมควรได้กินอาหารดี ๆ ขอรับ ท่านลุงอู๋ต้องทำอาหารให้ท่านปู่หลิน ดังนั้นมีใครที่สามารถทำอาหารให้คนงานได้บ้าง เป็นอาหารที่ไม่ยุ่งยากขอรับ”
“อาหมิน เจ้ามาช่วยหมิงหมิงน้อยทำอาหารให้คนงานที” อู๋เจ๋อรีบหันไปสั่งงานหลานชาย “หมิงหมิงน้อย ต้องการให้อาหมินทำอันใดเจ้าก็บอกได้เลย”
“ท่านลุงอู๋ น้ำมันหมูยังมีเหลืออยู่หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามหัวหน้าพ่อครัวใหญ่ต่อ
“ยังมีเหลืออยู่ครึ่งไห หมิงหมิงน้อย”
“ดีเลยขอรับ พี่ชายหมิน ข้าเห็นมีฟักทองอยู่บนชั้นวางผัก ขอให้พี่ชายหมินปอกเปลือกฟักทองทิ้งไป ตั้งหม้อโจ๊กธัญพืชเสร็จแล้วสับฟักทองให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไปในหม้อต้มด้วย ฟักทองชิ้นเล็กจะได้ต้มให้สุกได้ง่าย ๆ ขอรับ ถ้าจะขอเห็ดหอมใส่ลงไปด้วยคงเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องใส่”
“เมื่อโจ๊กและฟักทองสุกแล้ว ให้พี่ชายหมินตั้งกระทะใส่น้ำมันเล็กน้อย สับกระเทียมลงไปผัดให้หอม พอกระเทียมสุก เทโจ๊กฟักทองลงไป คนให้เข้ากัน พี่ชายหมินอย่าลืมใส่น้ำตาลผักลงไปด้วยนะขอรับ ปรุงรสด้วยเกลืออีกเล็กน้อย ถ้าท่านปู่ให้ใส่ซีอิ้วได้ ก็ใส่ลงไปด้วย เพียงเท่านี้ โจ๊กธัญพืชฟักทองก็พร้อมให้พี่ ๆ คนงานได้ลิ้มลองแล้วขอรับ”
อี้หมิงขานรับอู๋เจ๋อก่อนหันไปอธิบายวิธีการทำโจ๊กฟักทองให้พี่ชายหมินฟังอย่างละเอียด
“น้ำตาลผักนี่ใช่ที่ชาวบ้านพากันไปซื้อที่ร้านของเถ้าแก่หวังใช่หรือไม่หมิงหมิงน้อย ข้าไปตลาดเห็นมีคนเล่าลือกันหนาหู” อู๋หมินถามเด็กชายตรงหน้า
“คงจะใช่ขอรับ เพราะน้ำตาลผักเป็นบ้านจางทำออกมาขายให้กับเถ้าแก่หวังเพียงเจ้าเดียว พี่ชายหมินพอจะจำการทำโจ๊กฟักทองได้หรือไม่ขอรับ”
“หมิงหมิงน้อย ข้าจำวิธีการปรุงโจ๊กฟักทองได้ ขั้นตอนไม่ได้ยุ่งยากอะไร” อู๋หมินตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ดียิ่งขอรับ เช่นนั้นท่านลุงอู๋ พวกเราไปทำอาหารให้ท่านปู่กันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงยิ้มน่ารักก่อนจะหันไปพูดกับหัวหน้าพ่อครัว
“หมิงหมิงน้อย เจ้ามีอาหารใหม่ ๆ อีกแล้วใช่หรือไม่”
อู๋เจ๋อผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารเอ่ยถามด้วยความดีใจ จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร ในวันนี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม เด็กน้อยตรงหน้าก็ทำให้เขาประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านลุงอู๋ วันนี้ข้าจะทำอาหารที่ชื่อว่าข้าวผัดไข่ขอรับ ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอาหารชนิดใหม่หรือไม่ แต่ข้าสามารถบอกวิธีการทำข้าวผัดไข่ได้นะขอรับ”
จางอี้หมิงเดินไปยืนรออยู่ตรงโต๊ะจัดวัตถุดิบกลางห้องเหมือนเช่นเคย อู๋เจ๋อเห็นเช่นนั้นจึงเดินไปอุ้มเด็กน้อยนั่งบนเก้าอี้
ข้าวผัดไข่เป็นอาหารที่ทำง่าย ใช้เวลาไม่นานและที่สำคัญ วัตถุดิบไม่เยอะ ถ้าต้องให้ทำหมูพะโล้อีกครั้ง เขาได้เป็นลมไปก่อนแน่ มากไปกว่านั้น เด็กชายตัวน้อยอยากให้คนงานในครัวของเหลาอาหารซิ่งฝูรู้จักความหลากหลายในการทำอาหารประเภทผัดให้มากขึ้นด้วย
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้มาก่อน” หลิ่นไห่เอ่ย เขาขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ข้าก็ไม่เคยเช่นกัน” อู๋เจ๋อเห็นด้วยกับเจ้านาย
จางอี้เทากำลังจะเอ่ยปากออกไปว่าตนเองก็ไม่เคยได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้มาก่อนเช่นกัน แต่นึกขึ้นได้ว่าบุตรชายบอกทุกคนว่ารายการอาหารเป็นสูตรของบ้านจาง หากเขาเอ่ยว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนคงไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ ดังนั้นอี้เทาจึงได้แต่ปิดปากตนเอง นั่งเงียบ ๆ เช่นเดิม แม้ในใจจะตื่นเต้นไม่ต่างไปจากเถ้าแก่หลินและอู๋เจ๋อก็ตาม
“ข้าวผัดไข่ เหมาะสำหรับเป็นอาหารเร่งด่วนขอรับ ใช้เวลาในการปรุงไม่นาน ใช้วัตถุดิบไม่มาก ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถกินได้ ขั้นตอนในการปรุงก็ไม่ยุ่งยากด้วยขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้อู๋เจ๋อฟัง
“แค่ได้ฟังลุงก็สนใจยิ่งนัก เช่นนั้นขอหมิงหมิงน้อยบอกวิธีการปรุงมาได้เลย ท่านลุงผู้นี้จะตั้งใจทำข้าวผัดไข่สุดฝีมือ”
“เพื่อความอร่อย เราควรปรุงอาหารครั้งละจาน แต่ในวันนี้อนุโลมให้ท่านลุงอู๋ทำสองครั้ง ท่านลุงจะได้ฝึกการทำไปด้วย เพราะการทำข้าวผัดไข่มีวิธีการทำสองแบบ เพียงท่านลุงอู๋ทำวิธีการละสองจาน เช่นนี้เราจะได้ข้าวผัดไข่ทั้งสองแบบและครบสี่จานขอรับ”
“ได้ ๆ หมิงหมิงน้อยบอกลุงมาได้เลย”
“ข้าวผัดไข่วิธีแรกเป็นการผัดไข่ให้พอสุกแล้วจึงใส่ข้าวลงไปผัด จากนั้นจึงปรุงรสทีหลัง วิธีการแบบนี้จะทำให้ข้าวผัดแห้ง เมล็ดข้าวสวย ต่างกับวิธีที่สองที่ท่านลุงต้องผัดข้าวก่อนแล้วจึงใส่ไข่ลงไป วิธีการนี้จะทำให้ข้าวแฉะแต่เนื้อสัมผัสของไข่ที่เคลือบตัวข้าวจะให้ความรู้สึกอร่อยอีกแบบ วิธีนี้ หากเราใช้ตะเกียบคีบข้าวผัดไข่ก็จะกินได้ง่ายกว่าวิธีแรกขอรับ”
“โอ้ แม้แต่การทำข้าวผัดไข่ที่หมิงหมิงน้อยบอกว่าเป็นการทำง่าย ๆ ยังต้องมีวิธีการปรุงที่แตกต่างกันอีกด้วยหรือนี่”
“ใช่แล้วขอรับ วันนี้หลังจากที่ท่านลุงอู๋ทำข้าวผัดออกมาแล้วทั้งสองแบบ ท่านปู่กับท่านลุงก็ลองชิมดู แล้วเลือกว่าจะเอาแบบไหนก็ได้ขอรับ”
“เอาล่ะ ลุงพร้อมแล้ว”
“เริ่มแรก ท่านลุงต้องหั่นแครอทเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สับกระเทียมให้พร้อม ข้าให้พี่ชายหมินเก็บเนื้อมะเขือเทศไว้ ท่านลุงเอามาสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ไว้รอด้วยขอรับ”
“ท่านพ่อขอรับ รบกวนอุ้มข้าไปใกล้เตาที่ท่านลุงอู๋ทำอาหารด้วยขอรับ” จางอี้หมิงหันไปบอกบิดาให้อุ้มตนเอง เพื่อเขาจะได้อธิบายและเห็นวิธีการทำข้าวผัดไข่ได้อย่างชัดเจน
จางอี้เทารีบเดินมาช้อนตัวบุตรชายขึ้น เมื่อเห็นว่าอู๋เจ๋อเตรียมวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็กล่าวต่อ
“ขั้นตอนต่อไปข้าจะบอกวิธีการแรกก่อนนะขอรับ ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่น้ำมันนิดเดียวนะขอรับ เจียวกระเทียมให้มีสีเหลืองและกลิ่นหอม ใส่ไข่ลงไป ยีไข่ให้แตกนิดหน่อย ไม่ต้องรอให้ไข่สุกนะขอรับ เพียงแค่ไข่ไม่เป็นน้ำก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ใส่เนื้อมะเขือเทศลงไปนิดเดียว คนให้ทั่ว ขั้นตอนนี้ใช้ไฟแรงได้เลยขอรับ ใส่ข้าวหุงลงไป ตามด้วยแครอท ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว รอให้แครอทสุกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ก็ได้ข้าวผัดไข่สูตรแรกแล้วขอรับ”
“สำหรับสูตรที่สอง เราเพียงสลับขั้นตอนเท่านั้น จากที่ทำไข่ให้สุกก่อน เปลี่ยนเป็นผัดข้าวก่อนแล้วใส่ไข่ลงไปทีหลังขอรับ”
ระหว่างที่จางอี้หมิงอธิบายวิธีการทำข้าวผัดไข่ทั้งสองสูตรให้อู๋เจ๋อฟัง เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่ได้กังวลว่าหัวหน้าพ่อครัวจะฟังทันหรือไม่ เพราะขนาดหมูพะโล้ที่มีขั้นตอนยุ่งยากกว่าข้าวผัดไข่ ท่านลุงอู๋ยังทำออกมาได้ดี ดังนั้นเพียงข้าวผัดไข่ เขามั่นใจว่าท่านลุงอู๋จะสามารถทำได้ตามที่เขาบอกอย่างแน่นอน มีบ้างบางครั้งที่อี้หมิงต้องคอยเตือนท่านลุงอู๋ให้ผัดเร็ว ๆ เติมนั่นนิด ใส่นี่หน่อยลงไป การทำข้าวผัดไข่จึงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
“ท่านลุงใส่ข้าวลงไปเลยขอรับ ไม่ต้องรอให้ไข่สุก”
“ท่านลุงอย่าลืมมะเขือเทศสับขอรับ”
“ท่านลุง แครอทต้องผัดให้สุกกว่านี้อีกนิดขอรับ”
“ท่านลุง...”
“ท่านลุง...”
“ท่านลุง...”
และแล้วอู๋เจ๋อก็ไม่ทำให้เด็กชายตัวน้อยผิดหวัง ข้าวผัดไข่จานแรกเสร็จเรียบร้อยและส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัว เมื่อเห็นว่าออกมาดี อู๋เจ๋อจึงลงมือทำข้าวผัดไข่สูตรที่สอง ขั้นตอนการทำข้าวผัดไข่เขาฟังครั้งเดียวก็จำได้แล้ว ยิ่งทำอีกรอบเขายิ่งมีความคล่องตัวขึ้น เพียงสลับขั้นตอนเท่านั้น
เมื่อข้าวผัดไข่สองสูตรเสร็จเรียบร้อย อี้หมิงก็บอกให้พ่อครัวใหญ่หั่นแตงกวาวางบนจานที่ตักแบ่งได้สี่จานพอดี ควันลอยอ้อยอิ่งขึ้นไปบนอากาศ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องครัว เฉกเช่นเดียวกับโจ๊กฟักทองที่เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน อู๋หมินได้ตักใส่ถ้วยเล็ก ๆ นำมาวางไว้บนโต๊ะตรงมุมพักผ่อนที่มีข้าวผัดไข่สี่จานวางอยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้ข้าดีใจยิ่งนักที่ได้รู้ถึงวิธีการทำอาหารที่แปลกใหม่หลายอย่าง หน้าตา สีสัน กลิ่นของมันรึก็ช่างหอมยิ่งนัก”
อู๋เจ๋อถึงกับน้ำตาคลอ พ่อครัวเช่นเขาจะมีสิ่งใดให้ดีใจไปกว่าการได้สร้างสรรค์อาหารดี ๆ เช่นนี้
“ท่านปู่ เราสามารถปรุงรสได้อีกนะขอรับ อาจจะโรยด้วยพริกไทย เติมมะนาว ปรุงรสได้ตามใจชอบเลยขอรับ แต่ว่าตอนนี้ข้าหิวมาก แค่ข้าวผัดไข่กินกับแตงกวาจานนี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ”
“หมิงหมิงน้อยหิวมากใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ” หลินไห่เอ่ยอนุญาตหลายชายให้ลงมือกินอาหารได้ แต่ยังไม่ทันที่อี้หมิงจะคีบข้าวผัดไข่เข้าปาก เสียงอืออึงเซ็งแซ่จากฝั่งของคนงานก็แทรกเข้ามาเสียก่อน
“พวกเจ้าเหตุใดถึงส่งเสียงดังเช่นนั้น” อู๋เจ๋อตะโกนถามออกไป
“ท่านลุงอู๋ ท่านลองชิมโจ๊กฟักทองดูสิขอรับ แล้วท่านลุงจะรู้ว่าพวกข้าส่งเสียงดังด้วยเหตุอันใด” เป็นอู๋หมินที่ตะโกนตอบกลับมา
“โจ๊กฟักทองเช่นนั้นหรือ”
อู๋เจ๋อมองกลับมายังโต๊ะตรงหน้า เขาเห็นถ้วยโจ๊กฟักทองที่อู๋หมินนำมาวางไว้ให้ โจ๊กฟักทองมีสีเหลืองสวยงามจากทั้งฟักทองและข้าวฟ่าง มีกลิ่นกระเทียมเจียวหอมอ่อน ๆ อู๋เจ๋อจึงใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมาชิม
“นี่คือโจ๊กข้าวฟ่างจริง ๆ หรือนี่ เหตุใดถึงได้อร่อยเช่นนี้” อู๋เจ๋อเอ่ยพึมพำกับตนเองเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ หลินไห่ได้ยินเช่นนั้นจึงชิมบ้าง แล้วผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน ชายชราถึงกับเบิกตากว้างแล้วตักโจ๊กข้าวฟ่างขึ้นมาชิมอีกหนึ่งคำ
“หมิงหมิงน้อย เหตุใดโจ๊กนี่ถึงได้อร่อยเช่นนี้”
“เพราะโจ๊กฟักทองมีการใช้น้ำมันและกระเทียมเจียวมาเพิ่มความหอมและรสสัมผัสขอรับ ท่านปู่สังเกตหรือไม่ว่าทั้งสามสหายท่องหล้า นิลเง็กเซียน หรือแม้แต่โจ๊กฟักทองต่างใช้น้ำมันและกระเทียมเจียว จึงทำรสชาติอาหารแตกต่างและอร่อยขอรับ”
“เป็นเช่นนี้เอง ไม่นึกว่าการผัดจะทำให้อาหารอร่อยขึ้นได้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าวผัดไข่มิยิ่งอร่อยกว่าโจ๊กฟักทองอีกหรือ”
หลินไห่ไม่รอให้ใครตอบคำถามของตนเอง เขาลงมือคีบข้าวผัดไข่สูตรแรกขึ้นมาชิมก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่ข้าวสีเหลืองสวยเข้าปาก เถ้าแก่ก็ถึงกับเบิกตาโต วิจารณ์ออกมาตามที่ตนได้สัมผัส
“โอ้... ข้าวผัดไข่นี้ หอม หวาน แต่มีรสเปรี้ยวนิด ๆ หูหลัวโปสุกแต่ยังมีความกรอบ อู๋เจ๋อ เจ้าทำได้เช่นไร”
“ท่านปู่ลองสูตรที่สองสิขอรับ” อี้หมิงบอก
หลินไห่พยักหน้า ชิมข้าวผัดไข่สูตรที่สองต่อทันที
“อืม... เป็นดังที่หมิงหมิงน้อยบอก ข้าวเคลือบด้วยไข่ให้ความรู้สึกแตกต่างจริง ๆ ข้าชอบสูตรที่สองมากกว่า อู๋เจ๋อ เจ้าชอบสูตรไหน”
“ข้าชอบสูตรแรกขอรับ” อู๋เจ๋อตอบเถ้าแก่หลิน
“อืม ข้าชอบสูตรที่สอง ส่วนอู๋เจ๋อชอบสูตรแรก ข้าวผัดไข่นี้แต่ละคนชอบต่างกันจริงด้วย”
หลังจากที่ชิมข้าวผัดกันไปทั้งสองแบบแล้ว ทุกคนต่างก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวกลางวันกันโดยไม่มีใครปริปากบ่นหรือพูดคุยกันเลย เนื่องจากตลอดช่วงเช้าต้องเหนื่อยในการเรียนทำอาหารแล้ว ใกล้ถึงเวลากลางวันยังเหนื่อยลูกค้าแย่งพะโล้ไปกินเสียอีก
หลินไห่ถึงกับบ่นอุบ สรุปแล้วพะโล้ที่ทำครั้งแรก เขาซึ่งเป็นเจ้าของเหลาอาหารและอู๋เจ๋อซึ่งเป็นคนทำก็ไม่ได้กิน กลายเป็นเฉินเจีย ฉีหมิง กับลูกค้าหน้าเหม็นพวกนั้นเป็นฝ่ายแย่งไปเสียได้
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ที่ดูแลลูกค้าจึงมาแจ้งให้เถ้าแก่หลินออกไปพบลูกค้าทั้งหลายเพื่อรับเงินค่าประมูล กว่าเรื่องราวจะจบลงก็ทำเอาชายชราเจ้าของเหลาซิ่งฝูถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก เฉินเจียกับฉีหมิงมิวายเอ่ยสำทับถึงการชิมอาหารชนิดใหม่ครั้งต่อไปด้วย
มารดามันเถอะที่ข้าจะบอกพวกเจ้าอีกครั้ง ปล่อยให้รอไปอีกหลายวันก่อนก็แล้วกัน
หลินไห่คิดในใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“หมิงหมิงน้อย เจ้าก็เห็นแล้วว่าอาหารที่เจ้าทำขึ้นมาทั้งหมดมันทั้งอร่อย และข้ายังไม่ทันได้ลิ้มลองให้ชื่นใจก็ขายได้มาแล้วถึงห้าสิบตำลึง เช่นนั้นเจ้าจงรับเงินตำลึงนี้ไปทั้งหมดเถอะ”
หลินไห่หันมามองเด็กน้อย เขาเอ่ยอย่างใจดีพลางยื่นเงินทั้งหมดให้กับหลานชายตัวเล็ก
“มิได้ขอรับท่านปู่ ท่านรับปากท่านเฉินเจียกับคนอื่น ๆ ไว้แล้วว่าจะนำเงินไปให้กับคนยากจน หากท่านปู่นำเงินมาให้ข้า มิเท่ากับผิดคำพูดกับลูกค้าหรือขอรับ”
“แล้วพวกเจ้ามิใช่คนยากจนเช่นนั้นหรือ” หลินไห่ถามกลับ เป็นคำพูดเรียบ ๆ แต่ถึงกับทำให้คนบ้านสกุลจางอึ้งไปกับคำถามนั้น
“เรื่องนั้น... ข้า...” จางอี้หมิงถึงกับตอบไม่ได้
“ไม่ต้องหาข้ออ้างแล้ว เงินจำนวนนี้สมควรที่เจ้าจะรับมันไป หากเจ้าไม่สบายใจ ข้าจะมอบให้เจ้าสิบตำลึง ที่เหลือข้าจะนำไปมอบให้กับคนยากจนต่อไป แล้วที่พวกเจ้าไปขายผ้าปักเป็นเช่นใดบ้าง ขายได้ราคาดีหรือไม่”
หลินไห่ไม่ต้องการให้สองพ่อลูกปฏิเสธจึงรวบรัดสรุปความให้เรียบร้อย
“เอ่อ คือ...”
“หรือว่าร้านขายผ้ากดราคาผ้าของพวกเจ้า ให้ราคาน้อยกว่าสองตำลึงเช่นนั้นหรือ”
“หาเป็นเช่นนั้นไม่ขอรับท่านหลิน หากแต่เป็นราคาที่สูงกว่าที่ข้าคิดไว้ขอรับ” อี้เทาเห็นว่าบุตรชายไม่กล้าตอบคำถาม เขาจึงเป็นฝ่ายตอบเสียเอง
“ราคาสูงกว่า สูงกว่าเท่าใด” หลินไห่ถึงกับเอ่ยเสียงเข้ม จ้องมองจางอี้เทาตาไม่กระพริบ เขาต้องการให้ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวความจริง
“ผ้าปักผืนละสิบตำลึงขอรับ” สุดท้ายจางอี้เทาจึงตอบกลับไป
“สิบตำลึง แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่บอกข้า ข้าหลินไห่มิเคยเอาเปรียบผู้ใด เช่นนั้น ข้าจะเพิ่มเงินค่าผ้าปักให้เจ้าอีกแปด ตำลึงให้ครบตามที่ร้านผ้าให้ราคาแก่เจ้า พวกเจ้าไม่ต้องปฏิเสธ” หลินไห่บอกด้วยเสียงดังชัดเจน
จางอี้หมิงและจางอี้เทาจึงได้แต่ยกมือคารวะ กล่าวขอบคุณไปหลายครั้ง
“หมิงหมิงน้อย อู๋เจ๋อ ไปนั่งคุยกันที่ห้องทำงานกันเถอะ ในนี้ร้อนนัก”
หลินไห่ลุกขึ้นยืน เดินนำหน้าทุกคนที่เกี่ยวข้องไปยังห้องทำงานซึ่งเป็นห้องแรกที่ซีฮันพาสองพ่อลูกบ้านจางมาเข้าพบเถ้าแก่หลินเป็นครั้งแรก
“เอาล่ะ พวกเราคงคุยเรื่องราคาค่าสูตรอาหารได้แล้วใช่หรือไม่ เจ้าตัวเล็ก เจ้าคิดว่าจะขายสูตรอาหารเท่าใดกัน” หลินไห่เอ่ยถามหลานชายคนใหม่ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ท่านปู่ บ้านจางของเราไม่ต้องการขายสูตรอาหารให้กับเหลาซิ่งฝู แต่ต้องการเป็นคู่ค้ากันมากกว่าขอรับ” จางอี้หมิงบอกเสียงดังฉะฉานด้วยความมั่นใจ
“คู่ค้าเช่นนั้นหรือ ไหนลองอธิบายให้ปู่คนนี้เข้าใจได้หรือไม่”
“ข้าในฐานะที่ถือเป็นหลานชายของท่านปู่และเป็นทายาทของบ้านสกุลจาง ดังนั้นข้าจึงต้องรักษาผลประโยชน์ของทั้งบ้านสกุลจางและเหลาซิ่งฝูขอรับ โดยการที่บ้านสกุลจางขอรับค่าสูตรอาหารเป็นส่วนแบ่งจำนวนสองในสิบส่วนของราคาอาหารที่เหลาซิ่งฝูขายออกไป การจ่ายค่าสูตรอาหารไม่มีกำหนดระยะเวลา ตราบใดที่เหลาซิ่งฝูยังขายอาหารจากสูตรของบ้านสกุลจาง เหลาซิ่งฝูต้องจ่ายค่าสูตรเป็นส่วนแบ่งไปตลอดขอรับ”
“หมิงหมิงน้อย นั่นไม่มากไปหรือ หากข้าไม่ตกลง เจ้าก็ทำอันใดไม่ได้แล้วเพราะเจ้าสอนการทำอาหารให้เหลาซิ่งฝูไปหมดแล้ว” หลินไห่เอียงคอถาม
“ตอบท่านปู่ ไม่มากหรือน้อยไปขอรับ การเป็นคู่ค้ากัน บ้านสกุลจางและเหลาซิ่งฝูจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ในวันนี้ ถึงแม้ท่านปู่จะไม่ตกลงทำการค้ากับบ้านสกุลจางเพียงเพราะท่านปู่รู้สูตรวิธีการทำแล้ว แต่ข้ามั่นใจว่าท่านปู่จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะท่านปู่จะได้สูตรอาหารเพียงแค่ไม่กี่อย่าง แต่ถ้าตกลงทำการค้ากับบ้านสกุลจาง ท่านปู่จะมีสูตรอาหารใหม่ ๆ มาให้ลูกค้าได้ชิมในอนาคตอย่างสม่ำเสมอ”
“และในไม่ช้า เหลาซิ่งฝูจะกลับมามีชื่อเสียงล้ำหน้าเหลาเฟิงฟู่ เพียงแค่เงินไม่กี่ตำลึง ท่านปู่คงไม่เอาอนาคตของเหลาซิ่งฝูมาเสี่ยงแน่ ข้าคิดถูกใช่หรือไม่ขอรับ”
“ฮะ ฮะ ฮะ อี้เทา ข้ารู้สึกเสียดายยิ่งนักที่ลูกหลานข้าไม่ฉลาดและคิดได้เช่นบุตรชายเจ้า แต่ตอนนี้บุตรชายเจ้าก็เป็นหลานข้าแล้ว หมิงหมิงน้อย ปู่ยินดีที่จะร่วมเป็นคู่ค้ากับบ้านสกุลจางของเจ้า และปู่ขอบใจเจ้านะที่เจ้าคิดถึงผลประโยชน์ของเหลาซิ่งฝู” หลินไห่ยกยิ้มแล้วบอกต่อ
“ข้า หลินไห่ ตัวแทนเหลาอาหารเหลาซิ่งฝู ตกลงเป็นคู่ค้ากับบ้านสกุลจางของเจ้า ปู่จะให้ค่าสูตรอาหารจำนวนสองส่วน สำหรับทุกจานที่เหลาซิ่งฝูขายออกไป ไม่ว่าจะเป็นนิลเง็กเซียน สามสหายท่องหล้า หรือข้าวผัดไข่ และรายการอาหารในอนาคตด้วย เจ้ารอปู่สักครู่ ปู่จะเขียนสัญญาการเป็นคู่ค้ามาให้เจ้าได้ลงลายมือไว้ ถ้าหากในอนาคตเกิดอันใดขึ้นกับปู่ คนอื่นจะได้ไม่บิดพลิ้วค่าสูตรอาหารของตระกูลเจ้า”
เถ้าแก่เหลาอาหารซิ่งฝูหยิบกระดาษขึ้นมาและเริ่มเขียนหนังสือสัญญาสองฉบับ ชายชราส่งให้จางอี้เทาลงลายมือชื่อและเก็บรักษาสัญญาไว้หนึ่งฉบับ ส่วนอีกหนึ่งฉบับนั้นเขาจะเก็บไว้เอง
จางอี้หมิงยิ้มร่ามากกว่าครั้งไหน ๆ เพียงเท่านี้ บ้านของเขาก็จะไม่ขาดรายได้ แม้จะอยู่สร้างบ้านดินที่หมู่บ้านก็ยังจะมีเงินจากเหลาอาหารมาจุนเจือครอบครัว
เอาล่ะ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วที่สกุลจางของเขาจะได้สะดวกสบาย มีเงินมีทองบ้างเสียที
เขาต้องทำให้ได้
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?