ตอนที่ 15 ไส้อ่อนทอดหม่าล่า

“ท่านย่าขอรับ วันนี้พวกเราคงต้องทำงานหนักกันมากหน่อยนะขอรับ เพราะมีมันหมูที่ต้องเจียว ไหนจะพวกเนื้อสด กระดูก ที่ต้องหมักลงไหเพื่อให้เก็บไว้กินอีกหลายวัน โดยเฉพาะไส้พวกนี้ ต้องล้างทำความสะอาดก่อนที่มันจะเหม็น”

“ได้สิหมิงเอ๋อร์ งานหนักแค่นี้ไม่มีปัญหา ขอแค่มีอาหารให้เรากินก็ดีมากแล้ว เมื่อก่อนย่าอาจจะอิดออดนะ แต่ตอนนี้ย่าปรับตัวได้แล้ว” 

“ท่านย่า ข้าสัญญาว่าต่อไปครอบครัวเราจะไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว” จางอี้หมิงพูดอย่างมั่นใจ 

“ไม่เพียงเท่านั้นนะขอรับ ครอบครัวเราจะมีเงินมากมายให้มีมากกว่าตอนที่เราอยู่เมืองหลวงเสียอีก ที่สำคัญ ข้ายังอยากมีน้องสาวน้องชายมาเป็นเพื่อนเล่นข้าอยู่นะขอรับ ข้าต้องรีบหาเงินมาเยอะ ๆ ข้าจะสร้างจวนให้ใหญ่กว่าบ้านเก่าของเราขอรับ” จางอี้หมิงพูดเสียงดัง ส่งผลให้จางอี้เทากับหลี่อ้ายที่ฟังอยู่ด้วยถึงกับเขินอายเมื่อบุตรชายคนเดียวเอ่ยเย้าหน้าตาย

“หมิงเอ๋อร์ จะ...เจ้า พูดอันใดออกมา” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงดุไม่ดังมากนัก พวงแก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนจะเรียกสติของตัวเองกลับมา ปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิม

“เรื่องน้องชายน้องสาวเอาไว้ก่อนเถอะหมิงเอ๋อร์” นางบอกเด็กชาย “ไหน วันนี้แม่ต้องทำอันใดบ้าง ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าขอช่วยทำด้วยได้หรือไม่ ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากช่วยอีกแรง” หลี่อ้ายเอ่ยถาม นางเห็นว่ายังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ตนเองค่อยยังชั่วแล้วจึงไม่อยากอยู่นั่งเฉย ๆ เพราะลำพังแค่นางหูกับจางอี้เทาก็ดูจะทำไม่ทันกันแล้ว

“ได้สิ แต่น้องหญิงต้องไม่ฝืนตัวเอง ถ้ารู้สึกไม่ดี ให้รีบไปพัก ถ้าทำได้พี่จึงจะอนุญาต” 

“ข้าสัญญาเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายรับคำของสามี 

“หมิงเอ๋อร์ ย่าจะเจียวน้ำมันจากมันหมูเอง ส่วนสะใภ้ เจ้าหมักเนื้อกับกระดูกลงไหก็แล้วกัน แต่ย่าทำไส้ไม่เป็น คงต้องให้หมิงเอ๋อร์ทำให้แล้ว” นางหูแจกแจงหน้าที่อย่างชำนาญ

“ท่านย่า ไส้หมูต้องเอาไปล้างที่ลำธารขอรับ ข้าทำเองไม่ได้ ต้องให้ท่านพ่อทำขอรับ” อี้หมิงยกมือกล่าว 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปกับหมิงเอ๋อร์นะอี้เทา”

“ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าจะพาหมิงเอ๋อร์ไปล้างไส้หมูที่ลำธาร หมิงเอ๋อร์ พ่อต้องเอาสิ่งของอันใดไปอีกหรือไม่” จางอี้เทาลุกไปเอาไส้หมูที่ห่อไว้ พลางถามบุตรชายเผื่อว่ามีของที่ต้องใช้อีก

“เกลือขอรับ แต่ไม่ต้องมาก เพียงนิดเดียวเท่านั้นขอรับ”

จางอี้เทาแกะเอาเกลือที่ซื้อมาใส่ลงไปในไหดินเผาทั้งหมด แล้วตักแบ่งมาเพียงเล็กน้อยตามที่บุตรชายบอก เขาหยิบชามไม้ขนาดกลางมาด้วย แล้วหันมาจูงมืออี้หมิงออกไปที่ลำธาร 

“ท่านพ่อขอรับ ไส้หมูนี้มันแยกออกเป็นสองส่วน ที่ท่านพ่อถืออยู่เรียกว่าลำไส้อ่อน ขั้นตอนการล้างไม่ยุ่งยาก ท่านพ่อต้องตัดไส้หมูให้เป็นชิ้น ๆ แล้วตัดพังผืดออก นำไปล้างด้วยน้ำเปล่าสองครั้ง หลังจากนั้นนำเกลือลงไปขยำ ๆ ล้างด้วยน้ำเกลืออีกสองครั้ง เพียงเท่านี้ก็สะอาดแล้วขอรับ” อี้หมิงอธิบาย

“แต่ถ้าเป็นลำไส้ใหญ่ เราต้องล้างทั้งข้างนอกและข้างใน ขั้นตอนมันยุ่งยากมาก ที่สำคัญต้องใช้เกลือจำนวนมากขอรับ ข้าว่ามันคงไม่คุ้มค่ากับราคาเกลือ”

จางอี้เทาทำตามที่บุตรชายบอกทุกอย่าง ไม่นานก็เรียบร้อย อี้หมิงมองเห็นดงผักบุ้งริมธารก็นึกขึ้นได้

ที่บ้านยังไม่มีผักบุ้งเลยนี่ แล้วท่านย่าจะผัดอย่างไรเล่า...

นึกได้ดังนั้น เด็กน้อยจึงบอกให้บิดาเดินไปเก็บผักบุ้งมาเสียพอประมาณ พวกมันขึ้นอยู่เต็มสองฝั่งน้ำ ไม่จำเป็นต้องนำไปทั้งหมดในคราวเดียว

เมื่อได้ผักมาพอรับประทาน สองพ่อลูกจึงเดินกลับไปที่บ้าน หลี่อ้ายทำเนื้อเค็มหมักลงไหเสร็จแล้วเรียบร้อย  ส่วนนางหูยังคงง่วนอยู่กับการเจียวน้ำมันหมู

“ท่านย่าขอรับ วันนี้เราจะฉลองกัน เราจะทำอาหารอะไรหรือขอรับ” จางอี้หมิงรีบถาม เขาอยากกินอาหารกับข้าวสวยร้อนๆ ซึ่งนี่จะเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมา

“ย่าคิดว่าจะหุงข้าว ผัดผักบุ้งไฟแดง น้ำแกงเนื้อ หมิงเอ๋อร์ว่าดีหรือไม่” นางหูเอ่ยรายการอาหารให้หลานชายฟัง

“ไม่ดีขอรับ วันนี้ข้าขอเสนอรายการอาหารเป็น ไส้ทอดคลุกเครื่องเทศและพะโล้แห้งหญ้าหวานขอรับ ท่านย่าหุงข้าวเยอะ ๆ เลยนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบนางหูแล้วก็ถึงกับน้ำลายสอ แทบอดทนรอให้ถึงตอนเย็นไม่ไหวแล้ว อยากจะกินอาหารดี ๆ สักที

“หมิงเอ๋อร์ ชาวบ้านแบบเรา ๆ ไม่มีใครเอาเนื้อมาทำพะโล้นะ มันทั้งสิ้นเปลืองและราคาแพง เนื้อที่เรามีถ้าทำน้ำแกง บ้านเราจะมีน้ำแกงเนื้อกินหลายมื้อเชียวนะ แต่ถ้าเอามาทำพะโล้คงกินได้แค่วันเดียวเท่านั้น” นางหูรีบเอ่ยทัดทานหลานชาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการฉลอง แต่ถ้าสิ้นเปลืองถึงขนาดนี้ นางก็ปวดใจเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านย่า ถ้าชาวบ้านไม่ทำกิน แล้วใครทำกินเล่าขอรับ” 

จางอี้หมิงถึงกับเอียงคองง โลกที่เขาจากมาพะโล้เป็นอะไรที่ทำง่ายและอร่อย ไม่ใช่อาหารดีเด่นอะไรเลยด้วยซ้ำไป แต่เหตุใดท่านย่าถึงบอกว่าชาวบ้านไม่ทำกินกัน เพราะเนื้อที่นี่มีราคาแพงหูฉี่อย่างนั้นหรือ

เด็กน้อยได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ถึงแม้ว่าจะเคยมีสงครามและจบลงไปแล้วกว่าสิบห้าปี แต่อาหารก็ไม่ถึงกับขาดแคลน ยังคงมีให้ชาวบ้านชาวเมืองได้นำมาประทังชีวิต หรือจะเป็นเพราะว่ายุคนี้ยังไม่รู้จักการปรุงอาหารที่หลากหลายกันแน่

“ต้องเป็นคนที่มีฐานะดี พวกคหบดีต่าง ๆ คนที่ทำงานให้ราชสำนัก เมื่อก่อนบ้านเราก็มีโอกาสได้กินอยู่นะ ถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยครั้งก็ตาม” นางหูอธิบายให้หลานชายฟัง แต่ยังคงไม่สามารถตอบคำถามในใจอี้หมิงได้อยู่ดีว่าเหตุใดชาวบ้านไม่ทำกินกัน หากเหล่าคนชั้นสูงทำทานได้ ทำไมชาวบ้านจะทำบ้างไม่ได้

“ท่านย่า ข้าว่าวันนี้เรายังไม่ต้องทำอาหารมากมายเลี้ยงฉลองดีกว่าขอรับ แต่ยังไงไส้นี่ต้องทำอาหารวันนี้ เช่นนั้นเราทำไส้หมูทอด ผัดผักบุ้งไฟแดงกับข้าวสวยก็เพียงพอแล้วขอรับ พรุ่งนี้หลังจากที่ข้ากับท่านพ่อไปเก็บต้นหญ้าหวานบนภูเขาเสร็จแล้ว ข้าจะสอนท่านย่าทำหมูพะโล้แห้ง บางทีพวกเราอาจจะเอาสูตรหมูพะโล้แห้งไปขายให้กับเหลาอาหารในเมือง ท่านย่าว่าดีหรือไม่ขอรับ” อี้หมิงปัดความสงสัยของตัวเองทิ้งไปแล้วเสนอหนทาง

“ย่าตามใจหมิงเอ๋อร์ เพราะอาหารทั้งหมดนี้ เป็นหมิง เอ๋อร์หลานคนเก่งของย่าหาเข้าบ้านมาทั้งนั้น” 

“เช่นนั้นท่านพ่อขอรับ ท่านช่วยไปดูหม้อเจียวน้ำมันแทนท่านย่าทีขอรับ เพียงแค่คนบ่อย ๆ ไม่ให้มันไหม้เท่านั้น ท่านย่าจะได้มาทำไส้ทอดกับหุงข้าว” 

“ได้สิ แต่พ่อขอเก็บของพวกนี้ให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาชี้ไปที่พวกไหเปล่าที่มีหลายขนาด เครื่องใช้ หม้อรวมทั้งผ้าหลายพับ

จางอี้หมิงแจกแจงงานให้ย่ากับบิดาทำ ส่วนตัวเขาถึงแม้อยากจะทำเองใจแทบขาด แต่ด้วยร่างกายตอนนี้เพียงแค่จะหยิบหม้อยังไม่มีปัญญาเลยด้วยซ้ำ  

ในนิยายที่คนอื่นเขาย้อนเวลามาเกิดใหม่ มักอายุสิบ ขวบขึ้นไปแล้วทั้งนั้น ไหงเขาถึงมาแค่ห้าขวบเอง ทำอะไรก็ไม่สะดวกสักอย่าง ถ้าขืนยังทำอวดเก่งเหมือนนิยายเรื่องอื่น ๆ คาดว่าจะกลายเป็นคนพิการก่อนได้เป็นคนเก่งเป็นแน่

“ท่านพี่ เช่นนั้นข้าจะเอาผ้าพวกนี้ไปจัดการนะเจ้าคะ”

หลี่อ้ายเมื่อเห็นทุกคนต่างช่วยกันทำงานจึงอยากช่วยบ้าง เนื่องจากยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร งานผ้าจึงเป็นสิ่งที่ตนสามารถทำได้ และเพราะหลี่อ้ายเติบโตมาจากร้านค้าขายผ้าปัก งานตัดเย็บจึงเป็นสิ่งที่นางถนัดที่สุด

“ไปเถอะน้องหญิง ถ้าทำไม่ไหวก็อย่าหักโหม เข้าใจหรือไม่” จางอี้เทากำชับ

“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” 

หลี่อ้ายแยกตัวจากครอบครัวเพื่อนำผ้าที่สามีซื้อมาไปทำการตัดเย็บต่อไป ส่วนจางอี้เทาหลังจากที่จัดเก็บของเข้าที่แล้ว เขาจึงไปนั่งแทนมารดาเพื่อทำการเจียวน้ำมันหมู

“หมิงเอ๋อร์ ย่าพร้อมแล้ว ต้องทำยังไงบ้าง” นางหูเอ่ยถามหลานชาย

“ท่านย่าหุงข้าวก่อนขอรับ จากนั้นจึงทำไส้ทอด แล้วค่อยผัดผักบุ้งทีหลัง ท่านย่าพอจะมีน้ำมันหมูเก่าหรือไม่ขอรับ”

“หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะหมิงเอ๋อร์”

“เช่นนั้นเอาน้ำมันที่เราเจียววันนี้ก็ได้ขอรับ ท่านย่าตั้งหม้อหุงข้าวไว้ เสร็จแล้วเราจะคลุกไส้หมูหมักกับเครื่องเทศรอระหว่างที่กำลังหุงข้าวนะขอรับ”

จางอี้หมิงจำได้ว่าเครื่องเทศที่บิดาซื้อมามีฮวาเจียวที่ให้รสเผ็ดชา ถึงแม้ไม่มีพริก แต่ก็สามารถใช้พริกฮวาเจียวแทนได้ อีกอย่างคือมีชวงเจีย (พริกหอม) รวมทั้งเครื่องเทศพื้นฐานอีกหลายชนิด 

“ท่านย่า คั่วเม็ดฮวาเจียว (พริกไทยหรือพริกหมาล่า) กับชวงเจีย (พริกหอม) ให้หอม แล้วนำมาตำให้ละเอียดนะขอรับ ใส่กระเทียมเล็กน้อย ขิงนิดหน่อย เกลือสักหยิบมือ อย่าลืมใบยี่หร่าด้วย ที่ขาดไม่ได้คือน้ำตาลผักอีกนิด อย่าลืมซีอิ้วนะขอรับ เสร็จแล้วนำไส้ที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไปหมักสักสองเค่อก็ได้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายขั้นตอน

“จริงสิ...ท่านย่า ซีอิ้วใส่กับผัดผักบุ้งจะอร่อยมากยิ่งขึ้นนะขอรับ เมื่อวานพวกเรายังไม่มีเครื่องปรุง ข้าเลยไม่ได้บอกให้ท่านย่าใส่ลงไป แต่วันนี้เรามีเครื่องปรุงแล้วขอรับ ข้าขอโทษที่ข้าลืมซื้อน้ำตาล เพราะคิดว่าใช้น้ำตาลผักแทนได้ แต่ข้าลืมไปว่าอาหารบ้างอย่างใช้น้ำตาลทำจะเหมาะกว่าขอรับ”

นางหูทำตามที่หลานชายบอกทุกขั้นตอน นางหยิบนู่นจับนี้ออกมาสรรค์สร้างอาหาร พอเห็นไหซีอิ้วที่จะนำมาปรุง นางถึงกับอารมณ์ดีขึ้นมาก พอหมักไส้ได้ตามเวลาที่ต้องการ ข้าวก็สุกพอดี 

“ท่านย่า ต่อไปนี้เรียกว่าการทอดนะขอรับ การทอดคือการทำอาหารให้สุกด้วยน้ำมันที่ร้อน ใช้น้ำมันปริมาณมาก ซึ่งแตกต่างจากการผัด การผัดจะใช้น้ำมันเพียงนิดเดียวเท่านั้น จะทอดไส้อ่อนหรือทอดเนื้อสัตว์อันไหน ท่านย่าเพียงเติมน้ำมันหมูลงไปเยอะหน่อย พอกระทะร้อนก็นำไส้อ่อนที่หมักลงไปทอด ไม่ต้องพลิกไส้บ่อยนะขอรับ พอเริ่มสุกแล้วจึงพลิกอีกข้าง

การทอดต้องระวังน้ำมันกระเด็นใส่ตัวเราด้วยนะขอรับท่านย่า  พอไส้อ่อนหมูสุกเหลืองดีแล้ว ตักขึ้นพักไว้ขอรับ เสร็จแล้วท่านย่าก็ทำผัดผักบุ้งได้เลยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ย เขาไม่ลืมตักเตือนเรื่องน้ำมันกระเด็นด้วย

“ท่านพ่อเจียวน้ำมันหมูใกล้จะเสร็จหรือยังขอรับ อีกไม่นานท่านย่าก็ทำอาหารเสร็จแล้ว ข้าหิวจนไส้จะขาดแล้วขอรับ” เด็กน้อยหันไปถามบิดา ตอนนี้เย็นมากแล้ว อีกไม่นานอาหารทั้งหมดก็คงเสร็จ ถามพลางเอามือมาจับเอวตนเอง ทำท่าบิดตัวงอไปมา ดูแล้วน่าสงสาร ทั้งที่จางอี้เทากับหูไป๋หงรู้ว่าเด็กชายแกล้งทำให้ดูน่าสงสาร แต่ในสายตาพวกเขากลายเป็นว่าดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย

“อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว หมิงเอ๋อร์ อดทนอีกนิด เมื่อท่านย่าทำอาหารเสร็จ พวกเราก็กินได้”

“ท่านพ่อ ซาลาเปาสิบลูกที่พวกเราซื้อมา ข้าว่าเอาไว้อุ่นพรุ่งนี้ตอนเช้าดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ข้าอยากกินไส้หมูทอดก่อน”

เมื่อเริ่มหิวก็นึกถึงของกินอย่างอื่นขึ้นได้ อี้หมิงจำได้ว่าท่านพ่อซื้อซาลาเปามาด้วย แต่เพราะวันนี้มัวแต่ตื่นเต้นที่จะได้กินข้าวหุงวันแรก ทำให้เขาลืมมันไปเสียสนิท

“ได้สิ พ่อตามใจเจ้า” 

พวกเขาพูดคุยกันไม่นาน นางหูก็ทำอาหารทุกอย่างเสร็จ เช่นเดียวกับจางอี้เทาที่เจียวน้ำมันหมูจนได้ที่ เหลือเพียงหลี่อ้ายเท่านั้นที่ยังคงไม่เสร็จจากงานผ้า

“อืม...ไส้อ่อนกรอบนอกนุ่มใน เผ็ดร้อน หวาน มัน เค็ม ได้ทุกรสชาติจริง ๆ เสียดายไม่มีเครื่องปรุงพอให้ทำน้ำจิ้ม” 

จางอี้หมิงเป็นคนแรกที่ตักไส้ทอดเครื่องเทศขึ้นชิม เด็กชายหลับตาพริ้ม ซึมซับรสชาติของอาหาร ความเผ็ดที่เขาไม่ได้ลิ้มลองมานานทำให้มีความสุขจนไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยาย ทำไงได้ คนไทยชอบกินเผ็ด พอไม่มีพริกมันก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง

นางหู จางอี้เทา และหลี่อ้าย ได้แต่มองเด็กชายตัวน้อยตาปริบ ๆ พวกเขายังไม่กล้าลองชิมไส้ทอดจานนี้ ถึงแม้ว่ามันจะมีกลิ่นหอมมาก แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดเอามาทอด

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ลองชิมดูขอรับ ข้ารับรองว่าไม่เหม็นคาว มันอร่อยมากเลยขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยชวน เด็กน้อยหยิบเข้าปากอีกชิ้นและยืนยันเสียงหนักแน่นว่าไม่คาว

“มันไม่คาวจริงหรือหมิงเอ๋อร์” หลี่อ้ายถามย้ำ

“ไม่คาวขอรับท่านแม่ ท่านแม่ลองชิมดู” จางอี้หมิงคีบไส้อ่อนทอดชิ้นเล็ก ๆ วางลงไปบนถ้วยของมารดาแล้วทำตาเป็นประกาย

หลี่อ้ายชั่งใจอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจคีบไส้อ่อนทอดเข้าปาก นางลิ้มรสและทำตาโต อุทานออกมาเสียงไม่เบามากนัก

“อร่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านแม่ เป็นอย่างที่หมิงเอ๋อร์บอก ไม่คาว ไม่เหม็น มันอร่อยมาก แต่ว่ามีรสชาติเผ็ดหน่อยนะเจ้าคะ” 

นางหูและจางอี้เทาเมื่อได้ยินคำยืนยันจากหลี่อ้ายจึงตัดสินใจลองชิมดู อี้เทาคีบไส้ทอดวางลงบนถ้วยมารดาก่อนแล้วจึงคีบให้ตนเอง สองแม่ลูกมองหน้ากันและส่งอาหารแปลกตาเข้าไปในปาก ค่อย ๆ เคี้ยวอย่างละเมียดละไม รสชาติไส้ทอดจานนี้ดีกว่าที่คิด นางหูถึงกับตาโตตามลูกสะใภ้

“อร่อยจริงด้วย” 

“อร่อยมากหมิงเอ๋อร์ ลูกพ่อช่างเก่งจริง ๆ ผัดผักบุ้งว่าอร่อยแล้ว ไส้อ่อนหมูทอดเครื่องเทศก็ไม่น้อยหน้าเลย” จางอี้เทาชม

“ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ต่อไปบ้านเราจะมีของอร่อยกินทุกวันเลยขอรับ” จางอี้หมิงให้คำมั่น เขายิ้มกว้างพร้อมกับคีบไส้ทอดเข้าปากตามด้วยข้าวคำโต

มื้อเย็นวันนั้นครอบครัวจางต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะพวกเขามีเงินเกือบสองตำลึง มีข้าวสาร เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ ผ้าต่าง ๆ ตามต้องการแล้ว และถ้าการแลกเปลี่ยนแรงงานกับชาวบ้านประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะมีบ้านใหม่ก่อนถึงฤดูหนาวนี้

ไม่แน่ว่าในอนาคต อาหารที่เด็กชายบ้านจางทำออกมาอาจจะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้เช่นกัน วันนี้ครอบครัวจางทุกคนจึงเข้านอนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ตั้งแต่ที่ย้ายออกจากเมืองหลวงมา เห็นทีจะมีวันนี้ที่นางหูได้หลับอย่างมีความสุข จางอี้เทาและหลี่อ้ายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ชายหนุ่มจากต่างโลกในร่างเด็กน้อยยังแสนสุขใจ

และได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นนี้ต่อไป...

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ