ตอนที่ 63 สถานการณ์แคว้นเหลียง

แคว้นเหลียงขึ้นชื่อว่าเป็นแคว้นที่มีขนาดใหญ่กว่าแคว้นฉินถึงเท่าตัว...

ฤดูหนาวนี้ประชาชนแคว้นเหลียงประสบปัญหาไม่ต่างอันใดกับแคว้นอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารที่ขาดแคลนอย่างหนัก ประชาชนล้มตายจากอากาศที่หนาวเย็นยาวนานมากกว่าปกติ ยาสมุนไพรต่าง ๆ แทบหาไม่ได้

กองกำลังเหลียงอันสมควรเดินทางออกหาซื้ออาหารจากแคว้นต่าง ๆ ตั้งแต่หนึ่งเดือนที่แล้ว ทว่ากลับไม่สามารถทำได้เนื่องจากหิมะตกหนัก รถม้าจึงไม่สามารถเดินทางได้

ณ ท้องพระโรงแคว้นเหลียง ฮ่องเต้เหลียงเจิ้งหลงนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรทองอย่างสง่างามแต่ดวงพักตร์กลับหม่นหมอง พระองค์กำลังว่าราชการในหัวข้อการแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารอย่างหนักของประชาชน

“ปีนี้ฤดูหนาวช่างโหดร้ายยิ่งหนัก แม้ว่าพวกเราจะวางแผนการรับมือไว้ดั่งเช่นทุกปีแต่ก็หาได้ประสบความสำเร็จไม่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแคว้นเหลียงคงได้ล่มสลายแน่” ฮ่องเต้เหลียงเจิ้งหลงตรัส

“ฝ่าบาท เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นใดกันดีเล่าพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมวังทูลถาม

“ในเมื่อเรื่องเงินมิใช่ปัญหาของแคว้นเหลียง เช่นนั้นพวกเราเพียงให้ทหารออกไปซื้อเสบียงมาจากแคว้นอื่น มากหน่อยเช่นนี้คงพอแก้ปัญหาได้” เสนบดีกรมคลังเสนอความเห็น

“แต่ข้าว่ามันคือการแก้ไขปัญหาแบบปลายเหตุ หากเราสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้คือหนทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องที่สุดมิใช่หรือ” องค์ชายใหญ่เหลียงเฟิ่งหลงหรือเฟิ่งอ๋องตรัสเสนอความเห็น

“พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง แต่ผ่านมากี่ปีแล้วก็หามีผู้ใดแก้ไขปัญหาเรื่องอาหารได้ไม่ เช่นนั้นท่านจะกล่าวขึ้นมาด้วยเหตุอันใด” องค์ชายรอง เหลียงเว่ยหลงหรือเว่ยอ๋องคัดค้าน

“น้องรอง หากเจ้าไม่พูดอันใดมิมีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้”

“เจ้าใหญ่ เจ้ารอง พวกเจ้าก็เลิกทุ่มเถียงกันเสียที ว่าแต่เจ้าสาม แคว้นที่เจ้าไปทำการค้าขายด้วยเป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นห้ามมิให้อ๋องทั้งสองทะเลาะกัน

“กราบทูลเสด็จพ่อ แคว้นฉินเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแถบนี้ มิเสียแรงที่ครั้งนี้กระหม่อมได้ออกไปติดต่อทำการค้านอกเมืองหลวง กระหม่อมได้เห็นวิถีชีวิตและการผลิตเสบียงอาหารที่แตกต่างกันออกไปพ่ะย่ะค่ะ หลังจากฤดูหนาวนี้ผ่านพ้น กระหม่อมจะกลับไปทันทีอีกครั้งอาจจะมีหนทางแก้ไขปัญหาเรื่องอาหารของแคว้นเหลียงได้พ่ะย่ะค่ะ” หนิงอ๋องกราบทูลด้วยความสุขุม

“เจ้าสาม เป็นความจริงเช่นนั้นหรือ ช่างเป็นข่าวดียิ่ง”

ฮ่องเต้แคว้นเหลียงถามย้ำ พระองค์ทรงพึงพอใจไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าโอรสมีหนทางแก้ปัญหา

“กระหม่อมยังไม่สามารถให้คำตอบในครั้งนี้ได้พ่ะย่ะคะ ท่านอาจารย์เทียนอยู่ที่แคว้นฉินตลอดฤดูหนาวเพื่อทำการพิสูจน์ จนป่านนี้ยังไม่มีการส่งข่าวกลับมา หลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้ว กระหม่อมจะเร่งเดินทางไปยังแคว้นฉินโดยไวพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเหลียงหนิงหลงกราบทูลต่อเสด็จพ่อและที่ประชุมให้ทราบโดยทั่วกัน

หลังจากนั้นหัวข้อการหารือก็ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ ทุกคนแยกย้ายกลับไปทำงานอย่างเคร่งครัด หนิงอ๋องเองก็เช่นกัน เขากำลังเดินทางกลับไปยังตำหนักของตัวเองแต่องครักษ์ขององค์ชายใหญ่เข้ามาแจ้งก่อนว่าต้องการพบ

ถัดจากนั้นไม่กี่ยาม ภายในเหลาอาหารแห่งหนึ่งของเมืองหลวง ท่านอ๋องทั้งสามใช้สถานที่แห่งนี้ในการพบปะพูดคุยและปรึกษาหารือกันอย่างลับ ๆ ในความเป็นจริงแล้วท่านอ๋องทั้งสามมิได้ไม่ถูกกันดังเช่นที่แสดงออกให้คนทั่วไปเห็น เป็นเพียงกุศโลบายของฮ่องเต้เพียงเท่านั้น

“น้องสาม เจ้าพูดจริงเช่นนั้นหรือที่ว่าอาจจะหาวิธีปลูกผักได้ในแคว้นเหลียงของเรา” เฟิ่งอ๋องตรัสถามขึ้นด้วยพระพักตร์สดใส เรียวโอษฐ์แย้มขึ้นอย่างยินดี

“ใช่ ๆ ข้าก็อยากรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่” เว่ยอ๋องถามต่อ

“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าก็ตอบไปแล้วว่ายังไม่มีข้อสรุปใด ๆ ทั้งนั้นจนกว่าข้าจะกลับไปที่แคว้นฉินอีกครั้ง ตอนนี้ท่านอาจารย์เทียนอยู่ที่นั้นเพื่อเฝ้าติดตามผลการทดลอง หากว่าทำสำเร็จ เช่นนั้นจึงจะเป็นข่าวดีของแคว้นเรา” หนิงอ๋องตอบพระเชษฐาเสียงเรียบ

“น้องสาม หากว่าเจ้าสามารถหาวิธีสำเร็จ ความดีความชอบเช่นนี้สมควรตกเป็นของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็สมควรรับตำแหน่งรัชทายาท เจ้าเอาตำแหน่งนั้นไปเถิด ข้าจะได้ไม่ต้องถูกกดดันจากเสด็จแม่อีกต่อไป” เฟิ่งอ๋องตรัสขึ้นด้วยความสบายใจ

ที่ผ่านมาเหลียงเฟิ่งหลงถูกพระมารดาตีกรอบไว้แน่นหนา ทั้งความกดดันและความคาดหวัง ด้วยเพราะเป็นองค์ชายใหญ่ของแคว้น

“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่”

“เจ้าทำความดีความชอบมากมาย มีความสามารถ สมควรรับตำแหน่งไปโดยมิต้องมีการทดสอบใด ๆ แล้ว” เว่ยอ๋องสนับสนุนความเห็นของเฟิ่งอ๋องอย่างชัดเจน

“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านก็รู้ว่าทำเช่นนั้นมิได้”

“น้องสาม เจ้าคงเป็นกังวลเรื่องเสนาบดีเฒ่าพวกนั้นใช่หรือไม่ ที่ถูกเสด็จแม่ชักใยอยู่เบื้องหลัง” เฟิ่งอ๋องเอ่ยถาม

“น้องสามเจ้ามิต้องเป็นกังวล เจ้าก็รู้ว่าพี่ใหญ่กับข้าหาได้ต้องการตำแหน่งรัชทายาทหรือขึ้นเป็นฮ่องเต้ไม่ ตำแหน่งที่เหนื่อยเช่นนั้นใครจะไปอยากได้กัน นอกจากพี่ใหญ่กับข้าแล้วก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่มีความเหมาะสม องค์ชายอื่นไม่อายุน้อยก็หาได้เก่งกาจมีความสามารถเช่นเจ้าไม่ ในเมื่อข้ากับพี่ใหญ่ปล่อยมือแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงเหมาะสมที่สุด ว่าแต่พี่ใหญ่เถอะ ท่านจะทำเช่นไรให้ฮองเฮาตัดพระทัยจากท่าน”

เว่ยอ๋องบอกพระอนุชาให้สบายใจก่อนจะหันไปถาม พระเชษฐาที่กำลังมีสีหน้าลำบากใจกับคำถามของน้องชาย

พระมารดาของเหลียงเฟิ่งหลงคือฮองเฮา พระนางเป็นชาวแคว้นเหลียงอย่างแท้จริงและมิต้องการให้สายเลือดผสมของหนิงอ๋องที่มาจากแคว้นจ้าวได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ จึงบังคับผลักดันบุตรชายเข้าแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท โดยหารู้ไม่ว่าเฟิ่งอ๋องมิต้องการแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไม่สามารถมีทายาทสืบบัลลังก์ได้ เนื่องจากตนเป็นต้วนซิ่ว

เรื่องนี้มีเพียงฮ่องเต้และองค์ชายทั้งสามเท่านั้นที่รู้ พวกเขาพยายามช่วยกันหาทางออกของเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ก็จนใจเหลือเกินที่มิอาจแจ้งให้ฮองเฮารับทราบได้

“ถ้าหากว่าเสด็จพ่อไม่ทรงรักเสด็จแม่อย่างหาที่สุดมิได้และไม่ต้องการทำร้ายเสด็จแม่ ข้าคงสะดวกใจให้เสด็จพ่อยกตำแหน่งแก่น้องสามไปแล้ว ข้าโชคดีที่เสด็จพ่อทรงเข้าพระทัยว่าเรื่องความรักมันฝืนกันมิได้ หากวันใดเสด็จพ่อต้องตัดพระทัยจากเสด็จแม่ทั้งที่ยังรักใคร่ เสด็จพ่อคงต้องสู้ไม่ถอยแน่” เฟิ่งอ๋องตรัสเสร็จแล้วจึงยกสุราขึ้นจิบ หวังให้ฤทธิ์น้ำเมาช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจ

“พี่ใหญ่ข้ายังโชคดีกว่าท่านนัก แม้ไม่มีมารดามาตั้งแต่เกิด แต่ก็ได้ฮองเฮาทรงเมตตาเลี้ยงดูมากับท่าน ข้าก็ทำร้ายฮองเฮามิได้เช่นกัน พระคุณที่เลี้ยงดูมาช่างใหญ่หลวง แต่ข้าก็มิปรารถนาตำแหน่งฮ่องเต้ ข้าอยากเป็นนักเดินทาง ออกท่องเที่ยวไปทั่วหล้า” เว่ยอ๋องปรารภขึ้นมาบ้าง

“เช่นนั้นแล้วน้องสาม เจ้าต้องทำการปลูกผักในแคว้นเหลียงให้สำเร็จ เสด็จแม่จะได้ไม่มีข้ออ้างในการแต่งตั้งเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต เสด็จพ่อจะได้มอบบัลลังก์ให้เจ้าแล้วไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเสด็จแม่ตามที่ตั้งพระทัยไว้ ส่วนพี่ใหญ่ก็จะได้ย้ายไปอยู่แคว้นอื่นเพื่อใช้ชีวิตกับคนรัก และสุดท้ายข้าก็จะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวตามที่ใจปรารถนา

เห็นหรือไม่ เพียงเจ้าขึ้นเป็นฮ่องเต้ปัญหาของทุกคนก็ได้รับการแก้ไข ข้ารู้ว่าเจ้ารักประชาชนทั้งแคว้นเหลียงและแคว้นจ้าวมากเพียงไหน เจ้าจึงเหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว” เว่ยอ๋องเป็นผู้สรุปทุกอย่างได้อย่างลงตัว

เขาไม่ได้ต้องการกดดันน้องชาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาแม้อยากช่วยให้หนิงอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไร้เหตุผลลงตัว ในตอนนี้ทุกอย่างเป็นใจแล้ว หากว่าพลาดโอกาสนี้ไปจะแย่เอา ไม่ใช่แค่ประชาชนแคว้นเหลียงที่รอพึ่งบารมีของพระอนุชาองค์นี้ พวกเขาเองก็เช่นกัน

“พี่ใหญ่ พี่รอง ข้าก็หวังว่ากลับไปแคว้นฉินรอบนี้จะมีข่าวดีรออยู่” หนิงอ๋องกล่าวและแจ้งเรื่องใหม่ขึ้นมา

“พี่ใหญ่ ครั้งนี้ที่แคว้นฉินข้าพบกับคนคนหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก”

“เป็นผู้ใดกันที่ทำให้น้องสามถึงกับบอกว่าน่าสนใจ” เว่ยอ๋องเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เป็นเด็กน้อยชาวบ้านอายุเพียงแค่ห้าขวบปีแต่เฉลียวฉลาดเกินเด็กไปมาก อ๋องน้อยบุตรชายข้า เมื่ออายุเท่านั้นยังมิได้ฉลาดเช่นเด็กนั่นเลย น้ำตาลผักและเกลือผัก รวมทั้งการปลูกผักก็มาจากความคิดของเด็กน้อยคนนั้น” หนิงอ๋องว่าเสียงเรียบ

“ช่างน่าสนใจ มิอยากเชื่อว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ถ้าหากข้าได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังแคว้นฉินเห็นทีจะต้องไปหาสักครั้ง” เว่ยอ๋องเอ่ยพลางยกสุราขึ้นจิบ

“ข้าจะพาอ๋องน้อยเดินทางไปแคว้นฉินด้วยในครั้งนี้ อ๋องน้อยสมควรได้รับการเรียนรู้นอกตำราแล้ว” หนิงอ๋องบอกความคิดของตนให้องค์ชายทั้งสองทราบ

“อ๋องน้อยมิใช่ว่าอายุน้อยเกินไปเช่นนั้นหรือ”

เฟิ่งอ๋องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ตัวเขาสงสารหลานชายยิ่งนัก เนื่องจากต้องฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจของตนเองตั้งแต่อายุเพียงสามขวบปี การเล่นซนอันใดในวัยเด็กก็หาได้มีไม่ แต่นั่นก็มิต่างอันใดกับเขาเช่นกัน ตำแหน่งองค์ชายใหญ่คือผู้มีศักดิ์และสิทธิ์ในราชบัลลังก์อย่างถูกต้อง การเติบโตขึ้นมาจึงไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไป

“เด็กคนนั้นเพียงแค่ห้าขวบปี แต่ทว่าอ๋องน้อยสิบขวบปีแล้วดังนั้นจึงไม่เร็วเกินไป” หนิงอ๋องตอบ

“น้องสาม เจ้าก็อย่าได้เคร่งครัดกับหลานข้านัก เช่นไรก็ยังถือว่าเป็นเด็ก” เว่ยอ๋องเอ่ยเตือนอีกคน

เขาเข้าใจความรู้สึกของน้องชายและหลานชายดี หนิง-อ๋องต้องการให้องค์ชายน้อยเติบโตมาด้วยความเพรียบพร้อมกล้าหาญ แต่ในขณะเดียวกันเด็กสิบขวบก็สมควรได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง

“พี่ใหญ่ พี่รอง หากไม่เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ คาดว่าคงตกตายก่อนถึงเวลา พวกท่านก็รู้ว่ามิใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่ในราชวงศ์ ถึงแม้ว่าเสด็จพ่อจะให้พวกเราเลือกตัดสินใจด้วยตนเองแต่กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มากมายนัก โดยเฉพาะพวกเสนาบดีเฒ่าหัวโบราณพวกนั้น”

“จริงของเจ้าน้องสาม” เฟิ่งอ๋องเอ่ย สิ่งเหล่านั้นมิอาจเลี่ยงได้ในฐานะองค์ชาย

“ช่างเถอะ อีกไม่กี่วันน้องสามต้องเดินทางไปแคว้นฉินแล้ว เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็ดื่มให้เต็มที่” เว่ยอ๋องผู้รักอิสระเอ่ยพลางยกจอกเหล้าขึ้น เขาไม่ค่อยสนใจปัญหาบ้านเมืองเท่าพระเชษฐาและพระอนุชา ทั้งยังไม่ต้องการให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้

“น้องรอง ลืมแล้วหรือว่าพวกเรากำลังแสดงละครตบตาพวกเสนาบดีเฒ่าพวกนั้นกับเสด็จแม่ หากเจ้าเมามายแล้วความแตก มิใช่เรื่องใหญ่เช่นนั้นหรือ หากอยากดื่มจนเมามายจงกลับไปดื่มที่ตำหนักของเจ้า” เฟิ่งอ๋องรีบเอ่ยเตือนองค์ชายรองเสียงเฉียบขาด

“อ๊ะ พี่ใหญ่ข้าลืมไป เช่นนั้นข้าลาก่อน น้องสามข้าขออวยพรให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพ จงนำความสำเร็จกลับมายังแคว้นนะ” เว่ยอ๋องอวยพรน้องชายเสร็จแล้วจึงลุกจากไป

“อาฟง เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ น้องสามข้าขอให้เจ้าโชคดีเช่นกัน” เฟิ่งอ๋องหันไปบอกกับองครักษ์ของตนเองที่พ่วงด้วยตำแหน่งคนรัก ก่อนผละจากไปอีกคน

หนิงอ๋องค้อมศีรษะลงทำความเคารพท่านพี่ อย่างไรเสียเฟิ่งอ๋องก็ยังเป็นเชษฐาที่น่านับถือ เขานั่งทบทวนเหตุมากมายในวันนี้สักพัก เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วจึงเดินทางกลับตำหนักตนเองเช่นกัน

หลังจากที่เสร็จสิ้นการพบปะกับพี่ชายทั้งสองแล้ว อ๋องหนุ่มจึงได้มีเวลาส่วนตัวเสียที เขาเดินไปยังเรือนหลักของตำหนัก ก้าวผ่านประตูและกำลังจะเข้าไปยังห้องบรรทมก็เห็นนางกำนัลคนสนิทของพระชายานั่งสัปหงกอยู่หน้าเตียง

หนิงอ๋องเขย่าเรียกตัวและส่งสัญญาณให้ออกไป นางกำนัลสาวตื่นมาเห็นก็ตกใจจนสะดุ้ง แต่เพียงไม่นานก็รับรู้ได้ว่าท่านอ๋องต้องการใช้เวลาส่วนตัวกับพระชายา จึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพและเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ มิลืมที่จะปิดประตูให้เสียงเบาที่สุดด้วย

ทางด้านหนิงอ๋องเมื่อมีเวลาส่วนตัวแล้วจึงเดินไปถอดชุดคลุมออกแขวนไว้ที่ปลายเตียง เขาถอดรองเท้าแล้วชุกตัวเข้าไปหาชายาคนงามที่กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุข สงสัยเหลือเกินว่านางคงกำลังฝันดีอยู่เป็นแน่

ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ นั้นดูงดงามราวนางฟ้านางสวรรค์ น่ารักแต่ก็เย้ายวนในคราวเดียวกัน

อ๋องหนุ่มทนไม่ไหวเมื่อชายาคนงามพลิกร่างกลับมาโอบกอดตัวเขาไว้อย่างแนบชิด เหมือนชายาของเขาจะยั่วยวนได้เก่งยิ่งนักแม้แต่ในยามที่ตกลงในห้วงนิทรา กลิ่นกายหรือกลิ่นหอมอันใดมิรู้ที่ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายในยามนี้ ส่งผลให้เลือดในกายหนุ่มร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างช่วยมิได้ คงเพราะสุราเป็นแน่

“พระชายาคนงาม อย่าหาว่าข้ารังแกคนนอนหลับก็แล้วกัน หากเจ้าจะยั่วยวนข้าเช่นนี้”

ท่านอ๋องหนุ่มกระซิบลงที่ข้างใบหูขาวนวลแล้วขบเม้มอยากหยอกเย้า ก่อนจะดอมดมไปทั่วทั้งไปหน้าจนหญิงสาวที่หลับใหลไม่ได้สติครางรับเสียงอืออ้า

ท่านอ๋องหนุ่มถือว่าพระชายาอนุญาตแล้ว ราตรีนั้นเขาจึงเคี่ยวกรำพระชายาจนรุ่งสาง ทดแทนที่จะต้องห่างหายกันไปนานอีกหลายเดือนเพื่อเดินทางมายังแคว้นฉินในอีกไม่กี่เพลานี้

หนิงอ๋องหลับใหลเมื่อดวงตะวันใกล้จะขึ้นจากขอบฟ้าพร้อมกับพระชายาในอ้อมแขน เขาวางความเครียดลงจากบ่าและเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่าคำพูดมากมายก็ตามราวีเข้าไปในฝัน

ทั้งประชาชนแคว้นเหลียง ท่านพ่อและท่านพี่ทั้งสอง เขาจะต้องดูแลให้ได้

จะไม่ยอมให้พวกเสนาบดีกระหายอำนาจมาเหยียดหยามอีกต่อไป

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ