ในที่สุด วันที่สำคัญก็มาถึง ยามเฉิน (07.00 – 08.59) ของวันนี้ บ้านจางมีนัดส่งน้ำตาลผักให้กับเถ้าแก่หวังและต้องไปพบชาวบ้านเพื่อฟังผลการแลกเปลี่ยนแรงงานในยามซื่อ (09.00 – 10.59) อีกทั้งหากได้รับคำตอบจากบ้านซุนว่าชื่นชอบพะโล้ที่ลองเอาไปให้ชิมแล้ว จางอี้เทากับจางอี้หมิงจะเข้าเมืองไปเสนอการทำอาหารให้กับเหลาทั้งหลายในวันพรุ่งนี้
น้ำตาลผักทั้งหมดสำหรับวันนี้ได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วโดยฝีมือของหูไป๋หง จางอี้เทาและหลี่อ้าย ส่วนจางอี้หมิงไม่ได้ช่วยอันใด จางอี้เทาปล่อยให้บุตรชายได้พักผ่อน
ในการทำน้ำตาลผักนั้นไม่ใช่เรื่องยากอันใด นางหูสอนให้บุตรชายและสะใภ้ไม่กี่ครั้ง ทั้งสองคนก็เข้าใจและทำเองได้ ทั้งสามตื่นมาตั้งแต่ยามเหม่า (05.00 – 06.59) แล้ว หูไป๋หงรับหน้าที่ทำข้าวต้มหมู หลี่อ้ายเย็บเสื้อผ้าและผ้าห่มที่ยังทำค้างไว้ ส่วนจางอี้เทาตรวจสอบความเรียบร้อยของน้ำตาลผักเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อถึงยามเฉิน (07.00 – 08.59) ไม่ขาดไม่เกิน รถม้าของเถ้าแก่หวังก็เดินทางมาถึงบ้านจาง
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ข้ามารับน้ำตาลผักตามที่นัดไว้ ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้เตรียมสินค้าพร้อมแล้วหรือไม่” อาคุน คนขับรถม้าของเถ้าแก่หวังเอ่ยถาม
“พร้อมแล้วน้องชาย น้ำตาลผักอยู่ในบ้าน รบกวนน้องชายช่วยขนขึ้นรถม้าด้วยได้หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยถาม
“ได้ขอรับ เรียกข้าว่าอาคุนเช่นเถ้าแก่ก็ได้ขอรับ”
“ได้ ๆ เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าพี่อี้เทาก็แล้วกัน” เขาส่งยิ้ม “และต้องรบกวนอาคุนแล้ว”
อาคุนกระโดดลงจากรถม้าและเข้ามาช่วยกันขน ชายหนุ่มทั้งสองใช้เวลาไม่นาน ไหน้ำตาลผักก็ขึ้นไปอยู่บนรถม้าจนหมด
“พี่อี้เทา นี่คือค่าสินค้าที่เหลือเป็นจำนวน 3 ตำลึง รบกวนพี่อี้เทานับด้วยขอรับ” อาคุนยื่นถุงเงินให้กับจางอี้เทา เขารับมาและเริ่มนับ เมื่อเห็นว่าครบตามที่ได้ตกลงกันแล้ว จางอี้เทาจึงมอบเงินให้เป็นสินน้ำใจจำนวนสามสิบอีแปะเช่นเดิม
เป็นจางอี้หมิงเองที่บอกบิดาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวานว่าให้มอบสินน้ำใจแก่คนขับรถม้า เนื่องจากในอนาคตอาจจะได้มีการไหว้วานหรือทำการค้าด้วยกัน การติดต่อจะได้ง่ายขึ้น
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด อาคุนยิ้มรับด้วยใบหน้าสดใส เขาบอกลาและออกคำสั่งให้ม้าเคลื่อนตัว เมื่อรถม้าของเถ้าแก่หวังกลับออกไปจนลับสายตาแล้ว จางอี้เทาจึงมอบเงินให้มารดาเก็บไว้
จางอี้หมิงตื่นนอนมาในช่วงยามเฉิน (07.00 – 08.59) หลังจากล้างหน้าบ้วนปากและแปรงฟันด้วยกิ่งต้นหลิว เด็กชายจึงได้รู้ว่าคนของเถ้าแถ่หวังมารับน้ำตาลผักไปแล้วเรียบร้อย ดังนั้นครอบครัวจางจึงมานั่งกินมื้อเช้าเป็นข้าวต้มหมูด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะมีเนื้อหมูไม่มากนัก แต่เด็กน้อยก็พอใจยิ่ง ถ้าเทียบกับช่วงแรก ๆ ที่เรียกได้ว่าเขาแทบจะฝืนกิน ช่วงเวลานี้มันดีมากเสียด้วยซ้ำ
หลังจากมื้อเช้าเสร็จสิ้น หลี่อ้ายกับหูไป๋หงกลับไปทำงานตัดเย็บเหมือนเดิม ส่วนจางอี้เทากับจางอี้หมิงเดินทางไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อพบปะกับชาวบ้านตามที่ได้นัดหมายไว้ในยามซื่อ (09.00 -10.59)
เมื่อสองพ่อลูกมาถึง ปรากฏว่ามีชาวบ้านมานั่งรออยู่ก่อนแล้วจำนวนเยอะพอสมควร
“ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ อรุณสวัสดิ์ ข้าขอโทษที่มาช้าขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยขอโทษหัวหน้าหมู่บ้าน ลูกชาย และชาวบ้านทั้งหลาย
“ท่านปู่ถง ท่านลุงเย่ อรุณสวัสดิ์ขอรับ” จางอี้หมิงค้อมศีรษะทักทาย
“อาเทา หมิงหมิงน้อย มา ๆ นั่งตรงนี้ก่อน พวกเขาเพิ่งมาถึงไม่นานเช่นกัน พวกเจ้าไม่ได้มาช้าอันใดเลย” ซุนซูเย่เอ่ยให้สองพ่อลูกได้สบายใจ ชาวบ้านก็ขานรับสนับสนุน
เมื่อซุนถงผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว จึงได้เป็นผู้นำในการพบปะกันในครั้งนี้
“วันนี้อย่างที่ข้าได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้เรื่องของบ้านจางที่ต้องการสร้างบ้าน แต่ยังขาดแรงงาน จางอี้เทาเคยเป็นอาจารย์ประจำสำนักศึกษาในเมืองหลวงก่อนที่จะย้ายมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหลัวถงนี้ บ้านจางต้องการแลกแรงงานของพวกเจ้ากับการเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับลูกหลานของพวกเจ้าเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากหมดฤดูหนาว พวกเจ้ามีความเห็นเช่นใด”
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพวกข้าปรึกษากันมาแล้ว พวกข้ายอมรับข้อแลกเปลี่ยนของบ้านจาง แต่ว่าพวกข้าขอเวลาสิบวัน ในการไปจัดการเก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่ให้แล้วเสร็จเสียก่อน และมีบางคนที่ยังติดสัญญาจ้างงานในเมือง อีกอย่าง ที่พวกข้าอยากจะขอแลกเปลี่ยนกับบ้านจางคือน้ำตาลผักที่หัวหน้าหมู่บ้านให้พวกข้าไปทดลองนั้น พวกข้าชอบมันมาก เป็นไปได้ไหมที่จะทำออกมาขายให้กับพวกชาวบ้านในราคาที่ถูกกว่าในเมือง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
จางอี้หมิงมองตามเสียงไป เขาคิดว่าชายคนนี้คงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกแรงงาน อาจจะเคยทำงานด้วยกันมาบ่อยหรือทำไร่ด้วยกันมาก็เป็นได้
“ว่ายังไงอาเทา ยอมรับข้อเสนอของพวกชาวบ้านหรือไม่” ซุนถงหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถามขึ้น
จางอี้เทาหันไปมองบุตรชาย เมื่อเห็นจางอี้หมิงพยักหน้ารับ เขาจึงวางท่าทางทรงภูมิขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบออกไปด้วยเสียงสุขุม
“บ้านจางขอบคุณพวกท่านมากที่ยอมรับข้อแลกเปลี่ยน ทางบ้านข้ายินดีที่จะมอบน้ำตาลผักจำนวนห้าไหเล็กให้กับพวกท่านทุกคนที่มาช่วยบ้านจางสร้างบ้าน แต่พวกท่านต้องหาภาชนะมาใส่เองนะขอรับ เพียงแค่สิบวันเท่านั้น บ้านข้ารอได้ขอรับ ไม่มีปัญหาอันใด และไม่ทราบว่าพวกท่านนับกันได้กี่คนหรือขอรับ ที่จะมาช่วยข้าสร้างบ้าน”
“หนึ่ง สอง สาม สี่.....ยี่สิบเอ็ด” ชาวบ้านเริ่มนับ “ยี่สิบสองคน”
“สรุปว่าพวกท่านมีจำนวนยี่สิบสองคน เช่นนั้นอีกสิบวันพวกท่านมาพบข้าได้ที่บ้านจาง ข้าจะจัดกระดาษกับพู่กันไว้ลงชื่อ เมื่อพ้นฤดูหนาวข้าจะเริ่มสอนหนังสือให้กับบุตรหลานของท่านแน่นอน ในส่วนของน้ำตาลผักที่จะทำออกมาขาย บ้านข้าขอไปปรึกษากันก่อน เมื่อได้ข้อสรุปแล้วข้าจะนำมาแจ้งไว้ที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านอีกทีขอรับ” จางอี้เทาเอ่ย
“ดี ๆ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ไม่ใจร้ายมากนัก” ซุนถงเอ่ยขอบใจเหล่าชาวบ้านทุกคนที่มา
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน พวกข้าถึงแม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาแต่พวกเราไม่ไร้น้ำใจ อีกอย่าง บ้านจางดูจะเสียเปรียบด้วยซ้ำ พวกข้าอยากให้บุตรหลานรู้หนังสือ แต่จะให้ส่งไปเรียนในเมืองคงเป็นไปไม่ได้ พวกเราต้องขอขอบคุณบ้านจางด้วยซ้ำที่ยินดีสอนหนังสือให้ หากบ้านจางต้องการสิ่งใดตอบแทนมากกว่านี้ พวกเราก็ยินดีทำให้”
“พวกท่านกล่าวหนักไปแล้ว เอาเป็นว่าพวกเราต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ พึ่งพาซึ่งกันและกัน แบบนี้ถึงเรียกว่ารักกันดั่งครอบครัว ใช่หรือไม่” จางอี้เทาแย้มรอยยิ้ม เขาก้มหัวให้กับชาวบ้านทุกคน ซึ่งก็ได้รับการกระทำเช่นเดียวกันกลับมา
หลังจากข้อแลกเปลี่ยนประสบความสำเร็จ ชาวบ้านจึงเริ่มเดินจากไป เหลือเพียงจางอี้เทาที่อยู่คุยกับบ้านซุนเรื่องพะโล้แห้งต่อ
“ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ ได้ชิมพะโล้แห้งสูตรบ้านข้าแล้ว เป็นเช่นใดบ้างขอรับ” เขาเอ่ยถาม
“อาเทา ข้าก็นึกว่าเจ้าจะลืมไปแล้ว มันอร่อยมาก ข้าก็ไม่เคยได้กินพะโล้ที่เหลาอาหารในเมืองหรือที่ไหน ๆ ทำมาก่อน ข้าจึงเปรียบเทียบไม่ได้ แต่ในความเห็นข้าคือ มันอร่อยมาก อร่อยกว่าน้ำแกงเนื้ออีก เย่เอ๋อร์ถึงกับร่ำไห้อยากกินอีกหลาย ๆ ครั้ง” เป็นซุนถงที่เอ่ยตอบ
“เป็นเช่นนั้นจริง อาเทา มันอร่อยมากจริง ๆ ข้าไม่เคยกินอาหารอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อน ทั้งนุ่มลิ้น ทั้งฉ่ำในปาก ทั้งหอมเครื่องเทศ ข้าเจริญอาหารยิ่งนักในมื้อนั้น” ซุนซูเย่เอ่ยสนับสนุนคำพูดบิดา เขาชมไม่ขาดปาก
“ข้ายินดียิ่งนักที่บ้านท่านชื่นชอบ พรุ่งนี้ข้ากับหมิงเอ๋อร์จะเข้าไปในเมืองอีกครั้ง จะไปติดต่อที่เหลาอาหารในเมืองดู”
“อาเทา เจ้าก็อย่าลืมเอาเรื่องที่ชาวบ้านขอให้ทำน้ำตาลผักออกมาขายราคาถูกกลับไปคิดเสียหน่อยด้วยนะ” ซุนซูเย่เอ่ยเตือน
“ข้าไม่ลืมขอรับพี่เย่ ชาวบ้านดีต่อครอบครัวข้า พวกข้าไม่นิ่งนอนใจแน่นอนขอรับ แต่เรื่องนี้คงต้องปรึกษากันในครอบครัวก่อน เช่นไรข้าจะมาแจ้งท่านลุงถงนะขอรับ”
“ได้ ๆ”
“ท่านพ่อขอรับ ข้าขอไปเล่นกับพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ได้หรือไม่ขอรับ เชิญท่านพ่อคุยกับท่านลุงเย่ไปก่อนได้เลยขอรับ” จางอี้ หมิงเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และเขาเองก็มีเวลาตอนกลางวันอยู่หลายชั่วยาม จึงคิดถึงคำสัญญาเมื่อวานที่ซูลี่ให้กับเขาไว้
“ให้หมิงหมิงน้อยไปเถอะอาเทา ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์อยู่สวนหลังบ้านหรือไม่ก็หลังบ้านกับมารดานั่นแหละ หมิงหมิงน้อยลองไปถามพี่สาวพี่ชายดูสิ” ซุนซูเย่บอกเด็กชายตัวน้อยคนเดียวที่นั่งอยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ หมิงหมิงน้อยคงจะเบื่อตามประสาเด็ก
เด็กชายหันไปมองหน้าบิดา เมื่อได้รับการอนุญาตแล้ว จางอี้หมิงจึงเดินไปที่สวนหลังบ้าน เขาเห็นสองพี่น้องเล่นกันอยู่สองคนดังที่ท่านลุงเย่กล่าว จึงร้องเรียกออกไปเสียงดัง
“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ สวัสดีขอรับ”
“อ้าว หมิงหมิงน้อยนั่นเอง มาหาข้ามีอันใดหรือ” ซุนซูลี่เอ่ยถามเด็กชายรุ่นน้อง
“ข้ามาตามสัญญาที่บอกพี่ซูลี่ไว้เมื่อวันก่อนขอรับ ข้าอยากไปเที่ยวและรู้จักกับเพื่อนเด็กคนอื่น ๆ”
“ดี ๆ ตอนนี้แดดยังไม่ร้อนมาก ข้ากับอาเย่จะพาเจ้าไปเล่นด้วยกัน แต่ข้าไปขออนุญาตท่านพ่อก่อนนะ”
“ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยรับคำและนั่งรอเด็กสาววิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
รอเพียงไม่นาน ซุนซูลี่จึงเดินออกมาพร้อมกับตะกร้าสะพายหลังอันเล็กขนาดพอดีตัว อันหนึ่งนางสะพายไว้เองและอีกอันหนึ่งสวมให้กับน้องชาย ในตะกร้ามีที่คีบทำด้วยไม่ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก เหมาะกับพวกเขา คนละหนึ่งอัน เสร็จแล้วนางจึงบอกให้ซุนหมิงเย่และเขาเดินตามออกไปนอกบ้าน
“พี่ซูลี่จะพาข้าไปที่ใดขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพวกเราเดินไกลออกมาจากบ้านซุนมากแล้ว
“ข้าจะพาหมิงหมิงน้อยไปเที่ยวทะเลอย่างไรเล่า เดินเพียงสองเค่อเท่านั้นเอง เวลานี้เด็กบ้านอื่นคงไปหาปูอยู่แถวทะเลนั่นแหละ ช่วงนี้น้ำลง แต่พอตอนเย็นน้ำมันจะขึ้นสูง อันตรายมากทำให้พวกเราไปไม่ได้ แต่ตอนนี้พวกเราก็จะไปเล่นและหาปูด้วยเช่นกัน”
“น่าสนุกนะขอรับ”
“ใช่ มันสนุกมาก จริงไหมอาเย่” ซุนซูลี่ตอบรับพลางหันไปถามน้องชาย หวังจะได้คำพูดเสริมให้การเที่ยวครั้งนี้น่าสนุกขึ้น
แต่ว่า...
“อืม”
เช่นเคย ซุนหมิงเย่ผู้สงบปากสงบคำ ขี้อายไม่เคยเปลี่ยน จางอี้หมิงถึงกับกุมขมับ พลางคิดอย่างเคร่งเครียด หาวิธีการให้เด็กชายรุ่นพี่พูดคุยบ้าง เพราะอย่างน้อยก็เป็นผู้ชายเหมือนกันและเขาก็อยากเล่นกับเด็กผู้ชายมากกว่า
“พี่หมิงเย่ เล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าเขาจับปูกันยังไง”
เอาว่ะ เริ่มจากถามบ่อย ๆ นี่แหละ แล้วคำถามเมื่อกี้ก็ต้องการคำตอบยาว ตอบแค่อืมคงจะไม่ได้
คำตอบที่ได้ไม่มีคำว่าอืมสมใจจางอี้หมิง แต่มันก็ไม่ได้มีคำตอบหรือเสียงอะไรตอบกลับมาเลย
ซุนซูลี่กำลังจะเอ่ยปากตอบแทน แต่เห็นจางอี้หมิงส่ายหน้าให้ซะก่อน นางจึงเข้าใจว่าเด็กชายกำลังพยายามช่วยให้น้องชายนางกล้าพูดและลดความเขินอายลง
“อาเย่ เล่าให้หมิงหมิงน้อยฟังหน่อยได้หรือไม่ ดูสิ น้องชายหมิงอยากรู้ใจแทบขาดแล้ว” ซุนซูลี่พยายามสนับสนุน ช่วยน้องชายตนเองให้มีความกล้าขึ้นอีกนิด
“ขะ ข้า ไม่รู้”
โอ้ ได้มาสามคำแล้ว
“เอาเช่นนี้ พอไปถึงทะเล ให้อาเย่เล่าให้หมิงหมิงน้อยฟังดีหรือไม่”
“ดีขอรับ” จางอี้หมิงรีบตอบ เขาหันไปมองซุนหมิงเย่ที่ตอบกลับมามากกว่าสามคำ
“ก็ได้ขอรับ”
สี่คำแล้ว! เพิ่มจากเดิมมาตั้งหนึ่งคำ
ซุนหมิงเย่ก้มหน้ามองพื้น หลังจากที่ถูกพี่สาวและจางอี้ หมิงมองอย่างกดดันจึงเอ่ยคำพูดออกมาได้เกือบประโยค
เด็กน้อยสามคนเดินเคียงคู่กันไป ทางเดินที่มุ่งตรงไปยังทะเลเท่าที่จางอี้หมิงมองสำรวจมา ทำให้พอทราบว่าทางเดินเป็นทางเท้าที่ไม่กว้างมากนัก สองข้างทางเป็นป่ามีต้นไม้สูงต่ำ โปร่งโล่งสลับกันไปตลอดทาง เดินไปประมาณหนึ่งเค่อ จางอี้หมิงถึงกับหยุดชะงักและขยี้ตาตนเองอย่างไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ปรากฎในสายตาตนเองนั้นใช่ที่เขาคิดไว้หรือเปล่า
นี่...มันมีมากขนาดนี้เชียวหรือ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?