การเปิดสอนการทำอาหารจากน้ำมันลูกหนามประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี เถ้าแก่หลินไห่พาทุกคนกลับมาเรือนตรงตามเวลาที่ฮูหยินของตนเองนัดหมายไว้ บรรดาคนงานนั้นเขาก็ปล่อยให้กลับบ้านไปได้เลยโดยไม่ต้องทำงานต่อแล้วในวันนี้ ส่วนวันอื่นจนกว่าจะจบเทศกาลก็แค่ให้มาเปิดสอนการทำอาหารเพียงครึ่งวันเท่านั้น
“พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ท่านมาได้จริง ๆ ด้วย” จางอี้หมิงรีบวิ่งเข้าไปหาสองพี่น้องบ้านซุนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงของเรือนหลักหลังจากที่จางอี้เทาไปรับมากันครบทั้งครอบครัว
“หมิงเอ๋อร์ มิต้องวิ่ง พี่ชายพี่สาวไม่ได้หายไปไหน” หลี่อ้ายเอ่ยดุบุตรชายเบา ๆ อย่างเป็นห่วง นางกลัวว่าเด็กน้อยจะล้มหน้าทิ่มลงไปเสียก่อน
“ท่านแม่ ก็ข้าดีใจนี่ขอรับ ข้ามิได้เจอพี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่ตั้งหลายวัน” จางอี้หมิงทำหน้างอ เขาอยากทำตัวเป็นเด็กสักวันหลังจากที่ต้องแบกรับภาระไว้มากมาย อยากวิ่งเล่นเหมือนเด็กน้อยสมวัยเท่านั้นเอง เหตุใดท่านแม่ถึงชอบดุนักเล่า
“หมิงหมิงน้อย เชื่อท่านอาสะใภ้เถิด ตอนนี้พวกข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วเช่นไรเล่า” ซูลี่เอ่ยกับน้องชายตัวน้อยเสียงติดเข้ม
“ใช่แล้ว หมิงหมิงน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เที่ยวงานเทศกาลเลยนะ ข้าตื่นเต้นเป็นที่สุด ข้ารู้สึกอยากถ่ายเบาตลอดเวลาเลย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ก็มิรู้”
ซุนหมิงเย่เอ่ยขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและหน้าขึ้นสีเล็กน้อยด้วยความเขินอาย
เขาต้องขอบคุณน้องชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นที่สุด เพราะตั้งแต่จางอี้หมิงเข้ามาในชีวิตเขาเมื่อหนึ่งปีก่อน ชีวิตเขาก็มีแต่ดีขึ้นทุกวัน
จางอี้หมิงเองก็ได้แต่ยิ้มรับด้วยความดีใจที่ตอนนี้พี่ชายหมิงเย่คุยกับเขาด้วยประโยคยาว ๆ ได้มากขึ้น
หลังจากที่ทั้งเขาและพี่ซูลี่ต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้พี่ชายหมิงเย่เลิกขี้อายเสียทีและสุดท้ายก็ได้ผล
เมื่อได้เห็นเด็กๆรักใคร่กลมเกลียวเช่นนี้ มีหรือที่บรรดาเหล่าผู้ใหญ่จะไม่พึงใจ พวกเขายิ้มเอ็นดูกับท่าทางของเด็กน้อยทั้งสามตรงหน้า
“เอาล่ะ น้องไป๋หง ลูกสะใภ้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็พาครอบครัวซุนไปยังห้องพักและแนะนำห้องต่าง ๆ กันดีหรือไม่” ท่านย่าใหญ่ที่เอ่ยเตือนเด็ก ๆ รวมทั้งนางหูและหลี่อ้าย
“พวกเจ้าไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยเถิด ในยามเซิน (15.00 – 16.59) ก็พากันมาที่ห้องอาหาร เสร็จแล้วพวกเราจะได้ออกไปเที่ยวงานเทศกาลก่อนที่จะมืดค่ำไปเสียก่อน”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
“อย่าลืมชุดที่เตรียมไว้ด้วยเล่า” ตู้จินเหมยมิวายเอ่ยเตือนอีกครั้ง
“มิลืมเจ้าค่ะ” นางหูเป็นผู้ตอบรับ
จางอี้เทา หลี่อ้าย เดินตามนางหูและครอบครัวซุนไปทางเรือนรับรองที่ฮูหยินหลินได้เตรียมไว้ให้แล้ว ก่อนที่ครอบครัวจางจะเอ่ยแนะนำส่วนต่าง ๆ ของเรือนให้ครอบครัวซุนได้ฟังและแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวสำหรับงานในค่ำคืนนี้
“พี่ซูลี่ เหตุใดจึงได้งดงามเช่นนี้ขอรับ”
เมื่อทุกคนมาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว จางอี้หมิงก็อดที่จะเอ่ยชมพี่สาวคนสวยของตนเองไม่ได้ ด้วยเพราะซูลี่นั้นเมื่อได้สวมใส่อาภรณ์ชั้นดีแล้วก็งดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็ไม่ปาน
ตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งประจำที่ในโถงห้องอาหารอย่างพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหลิน ครอบครัวจาง และครอบครัวซุน พวกเขาทุกคนต่างสวมชุดใหม่ที่ฮูหยินหลินได้ตระเตรียมไว้ รวมทั้งเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย
ในคราแรกบ้านซุนไม่ต้องการร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย เพราะเกรงว่าจะทำเรื่องขายหน้า พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่เคยกินอาหารเลิศรสมากมายเช่นนี้มาก่อน แต่จางอี้เทากลับบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ เนื่องจากเป็นความต้องการของเถ้าแก่หลินไห่เอง หากบ้านซุนปฏิเสธอาจจะเป็นการเสียมารยาทได้ ดังนั้นครอบครัวซุนจึงมิอาจเลี่ยงและมานั่งประจำที่อยู่ในตอนนี้
“หมิงหมิงน้อย เจ้าช่างปากหวานยิ่งนัก ข้าหาได้งามดั่งเช่นเจ้ากล่าวอ้างแม้แต่น้อย เพียงแค่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้น” ซุนซูลี่เอ่ยออกมาเสียงเบาด้วยความเขินอาย ถึงแม้ว่านางจะมีอายุเพียงสิบขวบปี แต่อีกเพียงไม่กี่ปีก็ถึงเวลาปักปิ่นและแต่งงานได้แล้ว
“ข้ามิได้พูดปดนะขอรับ พี่ซูลี่งามจริง ๆ ใช่หรือไม่ท่านพี่หมิงเย่ คืนนี้ข้าว่าคงมีคุณชายหลายคนเมียงมองพี่สาวของข้าเป็นแน่” จางอี้หมิงกล่าวยืนยันความคิดตนก่อนจะหันไปถามซุนหมิงเย่ด้วย
“ท่านพี่งามจริง ๆ ขอรับ” ซุนหมิงเย่ผงกหัวหงึกหงักเห็นด้วยกับน้องชายตัวน้อย
ซูลี่ยิ้มหวานอย่างเขิดเขิน นางกำลังจะกล่าวปฏิเสธอีกรอบแต่ก็ได้หลี่อ้ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นทั้งเด็กสามคงไม่จบประเด็นง่ายๆ
“เอาล่ะ แม่ก็เห็นด้วยกับหมิงเอ๋อร์ว่าลี่เอ๋อร์งามนัก คืนนี้คงมีคุณชายหลายคนจับตามอง เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์ต้องคอยเป็นองครักษ์ให้ท่านพี่ลี่เอ๋อร์ อย่าให้คุณชายท่านไหนมาวอแวพี่สาวของลูก ๆ ดีหรือไม่ แต่ว่าตอนนี้ลูก ๆ ต้องกินข้าวกันก่อน มิเช่นนั้นจะออกไปเที่ยวช้า มืดค่ำเสียก่อนคงได้อดไปเที่ยวเป็นแน่”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” เด็ก ๆ รีบขานรับอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อได้ยินคำว่าจะอดไปเที่ยว ทำเอาพวกผู้ใหญ่ได้แต่ยิ้มตามให้กับความน่ารักของเด็กๆ
หลังจากที่ทุกคนอิ่มหนำสำราญจากมื้ออาหารที่เหล่าฮูหยินทั้งหลายได้แสดงฝีมือกันแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปเที่ยวงานเทศกาลในเมืองไห่ถังซึ่งเด็กทั้งสามคนต่างมิเคยได้เที่ยวงานเช่นนี้เลยสักครั้ง ทำให้พวกเขาตื่นเต้นกันมาก จางอี้หมิงถึงกับตาลุกวาว เขาอยากจะไปเดินเที่ยวให้ทั่ว
“ท่านปู่พาท่านย่าใหญ่ไปเที่ยวเถอะขอรับ ส่วนท่านพ่อก็พาท่านแม่ไปเดินเที่ยวกันสองคนด้วย ท่านลุงเย่กับท่านป้าเจียวเม่ยก็เช่นกัน ส่วนข้า พี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่จะไปเดินเที่ยวกับท่านปู่ถงและท่านย่าเองขอรับ พวกท่านคิดว่าดีหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเสนอความเห็นเพราะอยากให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองบ้าง ส่วนท่านปู่หลินไห่กับท่านย่าใหญ่ก็จะได้ไปเดินเที่ยวฉลองให้กับความสำเร็จของเหลาซิ่งฝู
แต่ความจริงแล้วคือจางอี้หมิงกำลังวางแผนจับคู่ท่านปู่ถงกับท่านย่าของเขาต่างหากเล่า งานนี้สนุกแน่ หมิงหมิงน้อยรับรองได้
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าและท่านซุนถงจะช่วยดูแลเด็ก ๆ ให้เอง” นางหูเอ่ยให้ทุกคนสบายใจ
“ท่านแม่ เช่นนั้นก็ฝากเด็ก ๆ ด้วยนะขอรับ หมิงเอ๋อร์ อย่าดื้ออย่าซน เชื่อฟังท่านย่ากับท่านปู่ถงด้วยเข้าใจหรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยฝากฝังลูกชายและไม่ลืมหันไปกำชับจางอี้หมิงด้วย
“หมิงหมิงน้อยมาหาย่าใหญ่หน่อย เอานี่ไป เจ้าอยากได้อันใดก็ซื้อเอานะ ถุงนี้ย่าใหญ่ให้เจ้าเก็บไว้ซื้อขนมกิน” ตู้จินเหมยเรียกจางอี้หมิงเข้าไปหาและมอบถุงเงินให้ โดยนางยังเผื่อแผ่ไปถึงพี่น้องบ้านซุนด้วย
“ขอบคุณขอรับท่านย่าใหญ่”
“ขอบคุณขอรับ/เจ้าค่ะ ฮูหยินหลิน”
จางอี้หมิงและเด็กบ้านซุนเอ่ยขอบคุณพลางรับถุงเงินมาเก็บไว้
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงพากันขึ้นรถม้าและแยกย้ายไปเดินในงานความสนใจของแต่ละคน ท่านปู่ถง ท่านย่าหู และเด็กทั้งสามคนต่างเริ่มต้นด้วยการชมการแสดงกายกรรม ไม่ว่าจะเป็นการรำดาบ การลอดห่วงไฟหรือแม้แต่การฝึกสัตว์ให้เชื่องก็ตาม
“พี่หมิงเย่ ดูนั่น งูตัวใหญ่มาก พี่หมิงเย่กลัวหรือไม่ขอรับ”
จางอี้หมิงลืมสิ้นถึงความเป็นจริงว่าตนเองมีอายุวิญญาณเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้เขาหาได้สนใจไม่ เนื่องจากในชาติของอานนท์ ชีวิตความเป็นเด็กของเขามีแต่ความขาดแคลน การออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้หาได้มีไม่จะเอาความสุนทรีอันใดในบ้านเด็กกำพร้า แค่เพียงมีอาหาร มีที่นอน ได้เล่าเรียนเขียนอ่านเพียงเท่านั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว
ในเมื่อชาตินี้ชีวิตของเขาเริ่มดีขึ้น เพราะฉะนั้นเขาก็จะขอเก็บเกี่ยวความสุขในวัยเด็กที่ตัวเขาเมื่อชาติก่อนไม่มีโอกาสได้สัมผัสบ้าง
“หมิงหมิงน้อย อย่าเข้าไปใกล้เจ้างูตัวใหญ่นั่นสิ เจ้าไม่กลัวมันกัดเจ้าหรือไร” ซุนซูลี่เอ่ยเตือนน้องชายด้วยความกังวล
“ท่านพี่ซูลี่ มันไม่กัดหรอกขอรับ ท่านพี่ดูซิ มีเจ้าของยืนอยู่ใกล้ ๆ ตรงนี้ สบายใจได้ขอรับ” จางอี้หมิงตอบพี่สาวอย่างร่าเริงหาได้มีความกลัวแม้แต่น้อย เขารู้อยู่แล้วว่างูตัวใหญ่นั้นต้องถูกเอาพิษออกไปแล้วเรียบร้อย มิเช่นนั้นคงอันตรายเป็นอย่างมากและคงไม่ถูกนำมาแสดงเช่นนี้
“หมิงเอ๋อร์ อย่าได้ประมาทไป ขยับออกมาหน่อยได้หรือไม่ ย่าก็เป็นห่วงเจ้าเช่นกัน” นางหูเห็นหลานชายเข้าไปดูงูตัวใหญ่ใกล้ ๆ เช่นนั้นก็หวั่นวิตกมิน้อย จึงรีบเอ่ยเตือนออกไปทันที
“ขอรับ” จางอี้หมิงเห็นว่าไม่สมควรดูถูกความเป็นห่วงของคนที่รักเขา จึงยอมทำตามแต่โดยดี
“ท่านย่า ท่านปู่ถง พวกท่านสองคนมิเบื่อหรือขอรับ ที่ต้องมาเดินตามพวกข้าสามคน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ข้าเห็นทางโน้นมีการแสดงอยู่ เหตุใดพวกท่านไม่ไปรับชมเล่าขอรับ ข้า พี่ซูลี่และพี่หมิงเย่จะเดินเล่นอยู่แถวนี้แหละขอรับ ท่านย่า ท่านปู่ถงมิต้องเป็นห่วง พวกเราไม่ไปไหนไกลแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเสนอด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“ไม่ล่ะหมิงเอ๋อร์ ย่าเป็นห่วงเจ้า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นมากับเจ้า ย่าคงทนไม่ได้”
“โธ่ท่านย่า จะเกิดเหตุอันใดขึ้นขอรับ ทหารประจำการเดินลาดตระเวนอยู่เต็มไปหมด หากโจรคิดจะปล้นคงเป็นโจรที่โง่ที่สุดแล้วขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางขบขัน
“ท่านปู่ ข้าเคยได้ยินว่าท่านปู่ชอบดูการแสดงที่สุด เหตุใดไม่ถือโอกาสนี้ไปชมกับท่านย่าหูเล่าเจ้าคะ พวกเราจะเล่นอยู่แถวนี้แหละเจ้าค่ะ ตรงนี้มีผู้คนพลุกพล่านคงยากที่จะเกิดเหตุร้าย อีกอย่างน้องชายหมิงก็ออกจะเป็นเด็กที่ฉลาดเช่นนี้ พวกท่านมิต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลน้องชายทั้งสองคนให้เองนะเจ้าค่ะ” ซุนซูลี่เอ่ยยืนยันอีกเสียง
“ไม่เป็นไรแน่หรือ” นางหูเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ไม่เป็นไรแน่นอนเจ้าค่ะ” ซูลี่ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจและยิ้มกว้าง
“ได้ เช่นนั้นย่ากับท่านปู่ถงจะไปดูการแสดงที่ตรงโน้น หากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดก็ไปตามหาข้าได้ที่นั้น ลี่เอ๋อร์ ดูแลน้องชายให้ดีเล่า” เมื่อนางหูมองไปรอบ ๆ ก็เห็นดังที่เด็ก ๆ ได้กล่าวมา
คนพลุกพล่านเช่นนี้ ทั้งยังมีทหารเดินตรวจตราตลอด หากมีโจรเข้ามาก็คงเป็นโจรที่โง่ที่สุดดังเช่นที่เด็ก ๆ กล่าวมา นางจึงมั่นใจว่าเด็ก ๆ จะไม่เป็นไร
“เจ้าค่ะ” ซุนซูลี่น้อมรับ แต่เมื่อคล้อยหลังท่านปู่ถงและท่านย่าหู นางเองก็หันมาถามน้องชายด้วยความสงสัยเช่นกัน
“หมิงหมิงน้อย เจ้าบอกให้ข้าไล่ท่านย่าหูกับท่านปู่ออกไปเช่นนี้ เจ้ามีแผนจะทำอันใดหรือไม่ รีบบอกข้ามาเร็วเข้า”
จางอี้หมิงยกยิ้ม ก่อนหน้านี้เขาแอบกระซิบซูลี่ให้ทำตามที่เขาบอกด้วย ซึ่งพี่สาวคนสวยก็ทำตามแต่โดยดี เด็กน้อยยิ้มชอบใจและตอบกลับซุนซูลี่ไปว่า
“ก็ต้องเป็นเรื่องที่สนุกน่ะสิขอรับ พี่ซูลี่กับพี่หมิงเย่รีบตามข้ามาเร็วเข้าขอรับ”
จางอี้หมิงตอบคำถามและเดินนำพี่น้องบ้านซุนออกจากงาน พวกเขาเดินตรงไปทางริมแม่น้ำที่อยู่ห่างออกไปจากสถานที่จัดงานประจำปี
“หมิงหมิงน้อย เหตุใดต้องมาในที่มืดเช่นนี้เล่า ข้ากลัวนะ” หมิงเย่เอ่ยถามน้องชายพลางหยุดเดินตามพี่สาวกับน้องชายของตนเองอย่างหวาดระแวง
“ท่านพี่หมิงเย่ อีกไม่ไกลแล้วขอรับ มันอยู่ตรงข้างหน้านี้เอง ท่านพี่เห็นต้นไม้ใหญ่ตรงนั้นหรือไม่ นั่นแหละคือที่ที่เราจะไปกัน ข้าจะพาท่านพี่ไปดูหิ่งห้อยขอรับ มันสวยมากในตอนกลางคืน”
จางอี้หมิงหยุดเดินและหันหน้ามาหาพี่ชาย มือของเขาถือตะเกียงซึ่งเป็นสินค้าที่ได้จากการทำน้ำมันจากลูกหนามไปทางหมิงเย่พลางอธิบายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เจ้าก็พูดเช่นนี้มาตั้งหลายครั้งแล้ว ข้าว่าพวกเรากลับกันเถอะ ตรงนี้ไม่มีคนเลย ข้ากลัวนะหมิงหมิงน้อย” หมิงเย่ที่เห็นว่าโน้มน้าวน้องชายไม่ได้จึงบอกไปตามตรงถึงความกลัวของตนเอง
จางอี้หมิงเอื้อมมือไปจับมือของหมิงเย่ เขากำลังจะบอกให้พี่ชายสบายใจและคลายความกังวล ทว่าเสียงของซูลี่ก็ดังลั่นขึ้นมาเสียก่อน
“กรี๊ด ปล่อยข้านะ”
ซุนซูลี่ร้องออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนมาจับตัวนางจากทางด้านหลัง เด็กสาวจึงรีบเอี้ยวตัวหันไปมองแล้วก็ต้องตกใจออกมา ซึ่งเสียงร้องของซุนซูลี่ทำให้สองหนุ่มน้อยหันไปมองทันที
“พี่ใหญ่ พวกเราช่างโชคดีเสียจริง มีสินค้ามาถึงมือโดยไม่ต้องออกแรง ข้านึกว่าพวกเราจะพลาดคืนนี้เสียแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ”
ถึงแม้ว่าจางอี้หมิงจะมองเห็นได้ไม่ชัด เพราะแค่แสงจากตะเกียงอันเดียวไม่เพียงพอให้มองเห็นใบหน้าหรือรูปร่างของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่ก็พอจะบอกได้ว่าผู้ที่กำลังพูดอยู่มีโครงร่างสูงใหญ่ล่ำสัน
“ปล่อย ปล่อยข้านะ เจ้าคนชั่ว” ซุนซูลี่ร้องออกมาอีกครั้งด้วยความกลัวและตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ปล่อยท่านพี่ของข้านะ” ซุนหมิงเย่ร้องออกมาเช่นกัน
“เจ้าเด็กน้อย เหตุใดข้าต้องปล่อยสินค้าที่งดงามเช่นนี้ด้วย เอาไปเลี้ยงอีกเพียงไม่กี่ขวบปี คาดว่าคงขายได้ราคาดีเป็นแน่ ท่านเห็นด้วยหรือไม่พี่ใหญ่” ชายคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างถูกใจนักหนาและหันหน้าไปถามชายอีกคนที่มีรูปร่างเล็กกว่าคนแรกอยู่หนึ่งส่วน
“ไม่ต้องพูดมาก อย่าเสียเวลา รีบทำเข้าหรือพวกเจ้าจะรอให้ทหารมาเจอเข้าเสียก่อน” ชายร่างเล็กนั่นเอ่ยเสียงเข้ม ทำให้ชายร่างใหญ่เงียบเสียงลงและก้มตัวลงอุ้มซุนซูลี่แบกขึ้นบ่า
“ปล่อย ปล่อยข้า” ซุนซูลี่ร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางตัวสั่นระริก น้ำตาก็เริ่มเอ่อคลอเบ้า
หมิงเย่รีบวิ่งเข้าไปใช้มือทุบตรงขาของชายร่างใหญ่ที่แบกพี่สาวตนเองไว้อย่างลืมความกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้ชายร่างใหญ่นั่นผลักหมิงเย่กระเด็นไปตกตรงพงหญ้าข้างทางเดิน
จางอี้หมิงยังคงตั้งสติได้ เขาเอ่ยเรียกชายสองคนนั้นไว้เสียงดัง
“ช้าก่อนพี่ชาย หากท่านต้องการเงิน พวกข้ามีให้ ขอเพียงปล่อยพี่สาวข้าไปได้หรือไม่”
“หึ เจ้าเด็กน้อย ข้าไม่สนใจเงินของเจ้าหรอกนะ สิ่งที่ข้าสนใจคือสาวน้อยบนบ่าข้านี่ต่างหากเล่า” ชายร่างใหญ่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เจ้าโง่จะเสียเวลาโต้ตอบเจ้าเด็กพวกนี้ไปทำไม รีบไปกันเถอะ” ชายร่างเล็กตวาดลูกน้องและเตรียมจะเดินจากไป
จางอี้หมิงใจหวิว เขารู้สึกเสียใจขึ้นมา แต่เขาจะไม่ยอมให้พี่ซูลี่เป็นอันใดเด็ดขาด จางอี้หมิงจึงร้องตะโกนสั่งพี่ชายหมิงเย่ไปอย่างร้อนรน
“พี่หมิงเย่รีบไปตามคนมาช่วยเร็วเข้า”
เมื่อบอกพี่ชายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กน้อยก็กระโดดเข้าไปทุบตีที่ต้นขาของชายร่างใหญ่นั่นอย่างลืมกลัวเช่นกัน
หมิงเย่ได้ยินน้องชายบอกเช่นนั้นก็ตั้งสติได้ เขารีบวิ่งกลับเข้าไปในตัวงานทันที แต่ยังไม่ทันจะพ้นจากบริเวณนี้ ตัวของเขาก็ถูกหิ้วขึ้นมาจากพื้นเสียก่อน ปรากฏว่าเป็นหัวหน้าโจรที่รีบวิ่งมาจับตัวเขาไว้อย่างไม่ยอมให้หนีไปได้
“ปล่อย ปล่อยข้านะ” ซุนหมิงเย่ร้องพลางใช้มือทุบตีป่ายเปะไปทั่ว
“ปล่อยให้เจ้าไปแจ้งทหารให้มาจับพวกข้าเช่นนั้นหรือ ฝันไปเถอะเจ้าเด็กน้อย” ชายหัวหน้าผู้นั้นหิ้วซุนหมิงเย่ด้วยมือเดียวแล้วเดินกลับมาสมทบกับชายร่างใหญ่
“พี่ใหญ่ จะทำเช่นไรกับเด็กพวกนี้ดี”
“จับมัดไว้ใต้ต้นไม้นั่นแหละ ส่วนเด็กหญิงนี่พวกเราก็เอาไปขายให้หอนางโลมเมืองข้างหน้าก็คงได้หลายตำลึง” ชายหัวหน้าเอ่ย
จางอี้หมิงได้ยินเช่นนั้นจึงตัดสินใจก้มลงไปกัดที่แขนของชายร่างใหญ่จนจมเขี้ยว แรงทั้งหมดที่มีจางอี้หมิงใส่ลงไปไม่ยั้ง ส่งผลให้โจรร้ายร้องตะโกนขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขาวางซุนซูลี่ลงบนพื้น ก่อนที่จะใช้มือที่ว่างงัดเอาใบหน้าของจางอี้หมิงขึ้นมาแล้วจับร่างของเด็กน้อยทุ่มลงไปบนพื้นสุดแรง
“อุก! อือ ”
จางอี้หมิงรู้สึกจุกและเจ็บไปทั้งตัวคล้ายกระดูกจะแตกสลาย ร่างกายระบมจนไม่มีเสียงเปล่งออกมาถึงแม้ว่าจะรู้สึกเจ็บมากก็ตาม เขาตะเกียดตะกายพยายามจะดันร่างตัวเองให้ลุกขึ้น
จางอี้หมิงดันตัวเองได้นิดหน่อย ก่อนจะเบิกตากว้างและหลับตาลงเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดที่มากขึ้นตามมาเมื่อเขาเห็นชายร่างใหญ่คนนั้นยกเท้าขึ้นสูงหวังเตะซ้ำลงไปบนร่างของตนเอง
ข้าขอโทษพี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ ข้าขอโทษ
จางอี้หมิงได้แต่พร่ำขอโทษเด็กบ้านซุนอยู่เงียบ ๆ ในใจเมื่อเห็นว่าความซนของตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดอาจจะถึงแก่ความตายได้ จางอี้หมิงน้ำตานองหน้า เขาเจ็บปวดจากการถูกฝ่าเท้านั่นเตะลงมา
แต่ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจเจ้าโจรชั่ว อี้หมิงเห็นว่าชายคนนั้นเตรียมจะเตะเขาอีกครั้ง คงจะเพื่อเป็นการแก้แค้นที่เขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้จับตัวซูลี่ไป
เด็กน้อยหลับตาแน่นในหูได้ยินเสียงซุนซูลี่กรีดร้องขอไม่ให้โจรพวกนี้ทำร้ายเขาและเสียงของหมิงเย่ที่ร้องลั่นอย่างหวาดกลัว เขาตัวสั่นเทา นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้ที่เขาถูกทำร้ายจนร่างกายบอบช้ำ
จางอี้หมิงพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด เขานึกถึงหน้าท่านพ่อและท่านแม่ คิดถึงหน้าท่านย่าและทุกคนที่เขารัก เขายังไม่อยากตาย เขายังอยากอยู่กับผู้คนเหล่านี้ต่อไป อยากอยู่รับฟังคำสอนของจางอี้เทา อยากอยู่ฟังหลี่อ้ายดุเมื่อซุกซน อยากอยู่ออดอ้อนนางหู
ได้โปรด...ใครก็ได้มาช่วยเขาและสองพี่น้องบ้านซุนด้วยเถอะ
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?