เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัวจางผ่านพ้นไป ตอนนี้จางอี้หมิงหายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้ง ท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนปักหลักอยู่ที่เรือนตระกูลจางเพื่อติดตามน้องชายที่เที่ยวไปตามตรอก ซอกซอยของเมืองหลวง โดยบอกท่านแม่ทัพซึ่งติดตามมาด้วยว่าเป็นการเรียนรู้เส้นทางการค้าตามที่หนิงอ๋องกำชับมา
ทว่าความจริงแล้วก็คือการเล่นซนตามประสาเด็ก เนื่องจากชีวิตในแคว้นเหลียงของอ๋องน้อยหนิงเทียนต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบเอาไว้มากมาย ทั้งการเล่าเรียนอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นทั้งทางด้านบุ๋นและบู๋ เมื่อได้เดินทางห่างไกลบ้านและห่างไกลสายตาของพระบิดา จึงถือโอกาสปลดปล่อยความเก็บกดบ้างนั่นเอง
ทางด้านจางอี้เทาก็ตามติดภรรยาอย่างมิเคยให้คลาดสายตา จนหลี่อ้ายถึงกับรำคาญและคาดโทษว่าหากมิปล่อยให้นางได้มีเวลาอิสระและชีวิตส่วนตัวบ้าง นางจะให้สามีนอนนอกห้อง จางอี้เทาจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายความเข้มงวดของตนเองลง
“ท่านพี่ ข้าแค่ตั้งครรภ์นะเจ้าคะ ข้ามิได้ป่วย ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ ท่านหมอก็แนะนำให้เดินและทำงานบ้าง จะช่วยให้คลอดง่าย” หลี่อ้ายโอดครวญไม่หยุด เมื่อจางอี้เทายังคงตามติดนางอย่างกับเงาตามตัว เขาไม่ไปสอนหนังสืออีกเลย
ไหนท่านพี่ว่าลดความเข้มงวดลงแล้ว ที่เดินตามทุกฝีก้าวอยู่นี่คืออันใดกันเจ้าคะ!
“มิได้หรอก ลูกคนนี้หมิงเอ๋อร์เป็นห่วงมาก เช่นไรพี่ต้องดูแลให้ดี” จางอี้เทายังคงตีหน้ามึน เขาพยายามเอาบุตรชายมาอ้าง ที่คนฟังคิดทบทวนเช่นไรก็หาได้สมเหตุสมผลไม่
จางอี้เทาเห็นว่าภรรยาท้องได้หกถึงเจ็ดเดือนแล้ว หากเดินทางกลับหลัวถงในตอนนี้คงลำบากและอาจจะไม่ปลอดภัย บ้านจางจึงตกลงกันว่าจะรอให้หลี่อ้ายคลอดลูกเสียก่อน หากร่างกายแข็งแรงพอเดินทางได้ จึงค่อยเดินทางกลับหมู่บ้านหลัวถง
ในระหว่างที่ครอบครัวจางอยู่เมืองหลวง จางอี้หมิงได้คิดค้นอาหารชนิดใหม่เพื่อนำไปวางขายที่เหลาอาหารซิ่งฝูเพิ่มทุกเดือน เขายังทำให้การกินอาหาร วิจารณ์งานศิลป์ โด่งดังมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยการเอาอ๋องน้อยหนิงเทียนและพี่สาว ซุนซูลี่ในวัย 12 ขวบปีเป็นผู้ดึงดูดเหล่าคุณหนู คุณชายทั้งหลายเข้ามา
องครักษ์เหลียงไป๋ที่กลับมาจากเมืองไห่ถังเองก็ได้นำยาชุบชีวิตไปคืนให้กับฮ่องเต้แคว้นฉินเรียบร้อยแล้ว
ซุนถงและนางหู ทั้งสองคนกลายสหายที่รู้ใจ ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขและคอยมองดูลูกหลานเติบโต
ซุนซูเย่ กลายเป็นท่านเศรษฐีคนใหม่ของเมืองหลวง เขาสามารถใช้เวลาเพียงไม่นานเปลี่ยนฐานะจากชาวบ้านธรรมดาให้กลายมาเป็นบุคคลสำคัญของเมืองหลวงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในตอนนี้ ซุนซูลี่ จึงกลายเป็นคุณหนูอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และยังมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงพระขนิษฐาบุญธรรมของอ๋องน้อยอี้หมิงแห่งแคว้นเหลียงด้วย
ซุนหมิงเย่ ก็ไม่น้อยหน้า เขากลายเป็นคุณชายน้อยที่ทรงอิทธิพลและเป็นที่นิยมในเหล่าสหายทั้งหลาย จากคนขี้อายกลับกลายเป็นคุณชายน้อยผู้มีวาจาลื่นไหล เขาเรียนรู้ขั้นตอนการทำการค้าจากน้องชายและบิดาทั้งสองคน คาดว่าในอนาคตคงได้มีพ่อค้ามือทองของเมืองหลวงเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
เถ้าแก่หลินไห่กับตู้จินเหมย ท่านปู่และท่านย่าบุญธรรมของจางอี้หมิงกลับเมืองไห่ถังไปแล้ว หลังจากที่รู้ว่าหลานชายปลอดภัย พวกเขาหัวใจเกือบวายในตอนที่รู้ว่าหลานรักมีอันตรายถึงชีวิต จนกระทั่งมาเห็นว่าจางอี้หมิงวิ่งเล่นได้คล่องแคล่วจึงวางใจ
จางหม่าซือ ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหาลอบปลงพระชนม์พระสนม แต่ว่าจางอี้หมิงใช้ป้ายทองเว้นโทษตายขอชีวิตจางหม่าซือ ให้เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิต ส่วนทรัพย์สินบ้านจางตระกูลหลักก็ถูกยึดเพื่อนำไปเป็นของขวัญปลอบใจแก่พระสนมผิน
จางอี้เหลียน กลายเป็นสตรีวิกลจริตเนื่องจากรับความจริงที่ว่าตนเองเคยอยู่บนจุดสูงสุดแล้วตกต่ำมิได้ จางอี้หมิงจึงรับนางมาอาศัยอยู่ที่เรือนท้ายจวนและจัดให้มีบ่าวไพร่คอยดูแล สาเหตุที่จางอี้หมิงรับจางอี้เหลียนมาดูแล ก็เพราะว่าเขารู้สึกผิดที่ใช้เล่ห์กล โดยการให้องครักษ์เหลียงไป๋ลอบใส่พิษลงไปในชุดที่ส่งให้กับพระสนมผินนั่นเอง
ฮ่องเต้ฉินหลง ยอมทำตามแผนการของจางอี้หมิง พระองค์ยินยอมให้สนมรักถูกพิษจนใบหน้าเสียโฉมและใช้โอกาสนี้เลื่อนตำแหน่งให้สนมรักขึ้นเป็นเฟยกุ้ยเหริน พระสนมลำดับขั้นที่สี่ เพื่อเป็นการปลอบใจสนมผิน ซึ่งก็ไม่มีสนมคนไหนเอ่ยคัดค้านเลยแม้แต่น้อย
ทางด้าน พระสนมผิน หลังจากที่ถูกพิษทำให้ใบหน้าเสียโฉมแล้ว นางจึงได้รับการปลอบใจจากฮ่องเต้ด้วยทรัพย์สินของตระกูลจางสายหลักที่ยึดมา
หลังจากนั้นหนึ่งปี อาปาจึงปลอมเป็นหมอเทวดาเข้าไปรักษาใบหน้าของพระสนมผินให้กลับมางดงามดังเดิม
คนที่มีความสุขที่สุดจึงหนีไม่พ้นฮ่องเต้ฉินหลง
ศพของฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอิน ถูกนำไปทิ้งที่ป่าท้ายเมือง หาได้มีการทำพิธีอันใดไม่ จางอี้หมิงมิได้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ เพราะถ้ามิใช่ความเห็นแก่ตัวอยากทำร้ายครอบครัวของตนเองก่อน คงไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา
จางอี้หมิงได้พบท่านตากับท่านยายแล้วเช่นกัน โดยหลี่อ้ายถือเอาวันพักผ่อนในสัปดาห์หนึ่งของทุกคนกลับไปเยี่ยมบิดามารดาของตนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง เมื่อพ่อแม่ลูกได้กลับมาเจอกันก็เกิดภาพอันน่าประทับใจอย่างเหลือล้น
หลี่อ้ายสวมกอดบิดามารดาด้วยความรักและคิดถึง ในขณะที่ท่านตาและท่านยายของอี้หมิงก็โอบบุตรสาวไว้อ้อมแขนอย่างห่วงหา ท่านทั้งสองแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับตอนที่รู้ว่าหลี่อ้ายถูกขับไล่ให้ไปอยู่ชายแดนพร้อมสามีและลูกของนาง
“นั่นใช่จางอี้หมิง หลานรักของยายใช่หรือไม่ เจ้าตัวโตขึ้นขนาดนี้แล้วหรือ” หญิงชราหันมามองเด็กชายที่หลบอยู่หลังหลี่อ้าย ซึ่งจางอี้หมิงก็พยักหน้ารับน้อยๆ
“ขะ ข้าจางอี้หมิงขอรับ” เขาตอบกลับไปด้วยท่าทีเงอะงะ
โธ่...ก็คนไม่เคยมีตายายนี่นา จะทำตัวไม่ถูกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา
ในวันนั้นจางอี้หมิงถูกสวมกอดอยู่หลายหน เขาได้รับเสื้อผ้ามากมายจากท่านตาผู้เป็นคหบดีค้าผ้า
ในคราแรกก็คิดจะปฏิเสธ แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขยามได้เลือกชุดให้หลานชายของท่านยายแล้วเขาก็ขัดไม่ลง สุดท้ายจางอี้หมิงก็ชวนหญิงชราคุยจ้อ เรียกรอยยิ้มของทุกคนในที่นั้นได้เป็นอย่างดี
จางอี้เทาถือโอกาสเอ่ยชวนให้บิดามารดาของภรรยาไปเยี่ยมที่จวนเขตพื้นที่เหลียนฮวาเมื่อหลี่อ้ายคลอดบุตรเรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งท่านทั้งสองยินดียิ่งกับคำเชิญนี้ ก่อนกลับจางอี้หมิงไม่ลืมมอบของเยี่ยมให้ท่านตาและท่านยายอย่างที่ตั้งใจไว้ มันเป็นหยกชั้นดีที่ได้ซุนซูลี่ช่วยเลือก
ในเช้าวันหนึ่งของฤดูฝนที่ตกลงมาอย่างมิลืมหูลืมตา ตระกูลจางก็เกิดความวุ่นวายอลหม่านขึ้นเมื่อหลี่อ้ายปวดท้อง
นางเจ็บท้องอยู่หลายชั่วยามก็มิมีท่าทีที่จะคลอด ทุกคนต่างมายืนรออยู่ที่หน้าห้องทำคลอดด้วยความกระวนกระวายใจ
“อาเทา เจ้านั่งลงก่อนเถอะ แม่จะเวียนหัวตามเจ้าแล้ว” นางหูเอ่ยบอกบุตรชายให้หายจากอาการตื่นเต้นเสียที
“ท่านแม่ น้องหญิงยังมิคลอดเลย ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว ข้ากลัวนางกับลูกจะไม่ปลอดภัย” จางอี้เทาหยุดการเดินก่อนหันมาตอบคำถามมารดา
“มิต้องเป็นกังวล ลูกสะใภ้คลอดหมิงเอ๋อร์มาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน อีกอย่างในห้องนั้นมีหมอตั้งสามคน หากเกิดอันใดขึ้น ท่านหมอคงออกมาแจ้งแล้ว” นางหูยังคงปลอบใจบุตรชายให้เลิกกังวลต่อไป
“ท่านย่า ข้าเข้าไปดูท่านแม่ได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเองก็ไม่ต่างกัน เขากำลังจะมีน้องตามที่เฝ้าฝัน ท่านอ๋องน้อยจึงรู้สึกตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ
“หมิงเอ๋อร์ อย่าเลย ท่านแม่กำลังทรมานอยู่ หากเจ้าเข้าไปจะเป็นการรบกวนท่านหมอ” ซุนซูลี่เอ่ยเตือนน้องชาย
“ท่านพี่ซูลี่แต่ข้าแค่อยากเข้าไปบอกน้องชายน้องสาวเองนะขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าท่านแม่มีน้องสาวน้องชายเล่า” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัย
“ข้ามิรู้หรอกขอรับ ข้าเพียงแต่เดาไปเรื่อยเท่านั้นเอง แล้วข้าเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กและยังเป็นเด็กชายด้วย ย่าว่าอย่าเข้าไปเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านหมอเถิด มาหาย่าทางนี้ พวกเรามาให้กำลังใจท่านแม่ของเจ้ากัน” นางหูเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยห้ามหลานชายและชวนให้มานั่งด้วยกัน
“ท่านย่า เช่นนั้นท่านย่ารอสักครู่นะขอรับ”
จางอี้หมิงบอกท่านย่าเสร็จแล้วจึงเดินไปที่หน้าประตูสำหรับให้มารดาคลอดน้องน้อย เด็กชายใช้สองมือน้อย ๆ แนบไปกับประตูแล้วเอ่ยออกไปเสียงดัง
“เจ้าตัวเล็ก ท่านย่า ท่านพ่อ พี่ซูลี่ พี่หมิงเย่ และพี่ใหญ่รอพวกเจ้าอยู่ข้างนอกนี้ อย่าทรมานท่านแม่นักเลย รีบออกมาได้แล้ว หาไม่ พี่ใหญ่จะไม่พาไปเที่ยวนะ ได้ยินหรือไม่”
จางอี้หมิงตะโกนออกไปสองรอบ เสร็จแล้วจึงเดินกลับมานั่งกับทางหูพลางส่งยิ้มไปให้
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าน้องของเจ้าจะได้ยินคำขู่ของเจ้าเช่นนั้นหรือ”
จางอี้เทาเดินมานั่งกับบุตรชายคนโตพลางถามขึ้นอย่างขบขัน เขาทั้งกังวล ทั้งไม่สบายใจ แต่พอได้เห็นบุตรชายกระทำเรื่องเช่นนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“แน่นอนขอรับ น้องของข้าต้องเป็นเด็กดีและเชื่อฟังพี่ใหญ่ หาไม่ ข้าจะไม่พาไปเที่ยวด้วยขอรับ น้องเล็กเจ้าได้ยินหรือไม่” จางอี้หมิงตอบบิดาแล้วมิวายตะโกนเข้าไปในห้องคลอดอีกครั้ง
“หมิงเอ๋อร์ พอเถอะ น้องของเจ้าเช่นไรก็หาได้รับรู้ไม่” นางหูเอ่ยห้ามหลานชายด้วยรอยยิ้มกับความไร้เดียงสาของเขา
แต่สิ่งที่มิคาดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่จางอี้หมิงตะโกนเข้าไปรอบสอง หลี่อ้ายก็กรีดเสียงร้องดังออกมาถึงนอกห้อง ทำให้ทุกคนหันหน้าไปมองทางประตูห้องคลอดอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
“อุแว้ อุแว้”
เสียงเด็กร้องแผดขึ้นทันทีที่จางอี้หมิงเอ่ยจบ ราวกับว่าเด็กน้อยรีบลืมตามาดูโลกตามคำบอกของพี่ใหญ่หรือเพราะเกรงกลัวคำขู่ก็หารู้ไม่
“คลอดแล้ว ท่านแม่ น้องหญิงคลอดแล้ว” จางอี้เทาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นเดินไปชะเง้ออยู่หน้าประตูอีกครั้ง
“อุแว้ อุแว้”
“เอ๋! เสียงร้องมาจากไหนอีก” นางหูเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“หรือว่า มีเด็กสองคน”
นั่นเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบ พวกเขารอจนกระทั้งผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หมอตำแยสองคนก็อุ้มห่อผ้าออกมาจากห้องคลอด
จางอี้เทาเป็นคนแรกที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหมอตำแยอุ้มห่อผ้าเดินออกมาจากห้องคลอด จางอี้หมิงจึงเดินไปชะเง้อชะแง้มองห่อผ้าทันที
“นายท่านจาง คุณชายน้อย เป็นบุตรชายเจ้าค่ะ”
หมอตำแยส่งห่อผ้าขาวสะอาดให้กับนายท่านจาง ผู้ที่เป็นบิดาของเด็กน้อยได้อุ้ม เขาน้ำตาไหลออกมาทันทีที่หมอตำแยยื่นห่อผ้าที่ข้างในนั่นมีบุตรชายของเขา ผู้เป็นบิดาโอบอุ้มเอาห่อผ้ามาถืออย่างทะนุถนอม บุตรที่พวกเขารอมานานหลายปี
“ท่านพ่อ ข้าอยากดูน้องขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยขึ้นพลางกระตุกชายแขนเสื้อของบิดา
“อาเทาเป็นเด็กผู้ชายจริงหรือ” นางหูเดินตามหลายชายคนโตมาอย่างไม่เร่งรีบและเอ่ยถามบุตรชายด้วยรอยยิ้มดีใจ
“ขอรับ ท่านแม่ดูสิ ตัวเล็กนิดเดียว” จางอี้เทาตอบมารดาพลางส่งบุตรชายให้กับนางหูได้รับไปอุ้ม ส่วนตัวเขาก็หันหน้ากลับมารับบุตรอีกคนที่แม่นมคนที่สองยื่นส่งมาให้
“ส่วนคนนี้เป็นบุตรสาวเจ้าค่ะ”
“เจ้าตัวน้อยของพ่อ ช่างงดงามเหลือเกิน” จางอี้เทาใช้นิ้วมือเขี่ยไปบนแก้มของบุตรสาวพลางเอ่ยชมมิขาดปาก
“ท่านพ่อข้าอยากดูน้องขอรับ” จางอี้หมิงเห็นบิดาและท่านย่ามิสนใจตนเอง จึงเกิดอาการงอนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงห้วนเล็กน้อย
“ได้ ๆ พ่อขอโทษ พ่อดีใจมากไปหน่อย” จางอี้เทาว่าแล้วก็ย่อตัวลงเล็กน้อย โดยอุ้มบุตรสาวไว้ในอ้อมอกเพื่อให้จางอี้หมิงที่เป็นบุตรชายคนโตได้ชื่นชมน้องสาวตามที่ต้องการ
“น้องน้อยน่ารักมากขอรับ” จางอี้หมิงว่าแล้วก็ใช้มือน้อย ๆ จิ้มไปบนแก้มแดง ๆ นั่นอย่างระมัดระวัง
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นพี่แล้วนะ ต่อไปต้องรักน้องให้มาก ๆ รู้หรือไม่” จางอี้เทาเอ่ยสั่งสอนบุตรชายในที
“ดีใจขอรับ ข้าสัญญาว่าข้าจะดูแลน้อง ช่วยท่านแม่เลี้ยงน้องด้วยขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์เป็นเด็กดีมาก ย่าภูมิใจในตัวหลานมาก รู้หรือไม่” นางหูเอ่ยชมหลานชายคนโตพลางส่งยิ้มให้
“นายท่านจาง ข้าคงต้องขอตัวคุณหนูและคุณชายน้อยกลับเข้าไปข้างในก่อนนะเจ้าคะ นายหญิงคงเรียบร้อยแล้ว” หมอตำแยทั้งสองขอตัวเด็กน้อยทั้งสองคนเพื่อนำไปให้หลี่อ้ายได้ให้นม หลังจากที่เวลาผ่านไปพอสมควร ซึ่งด้านในจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
“พวกข้าจะเข้าไปเยี่ยมนางได้เมื่อไหร่” จางอี้เทาถามต่ออย่างกระตือรือร้น
“คงต้องรออีกสักครู่เจ้าค่ะ หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอคงออกมาแจ้งพวกท่านเจ้าค่ะ” หมอตำแยรับคุณหนูและคุณชายกลับมาแล้วเอ่ยตอบคำถาม หลังจากนั้นจึงอุ้มเด็กน้อยทั้งสองกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าขอเป็นคนตั้งชื่อให้น้องทั้งสองได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้สิ แล้วหมิงเอ๋อร์อยากให้น้องชายน้องสาวเจ้าชื่อว่าอันใดเล่า” จางอี้เทาเอ่ยอนุญาต เขาเองก็อยากรู้เหลือเกินว่าบุตรคนโตจะตั้งชื่อให้น้องอย่างไร
“น้องรอง ชื่อว่า จางฮุ่ยหมิง (แสงสว่าง) น้องเล็ก ชื่อว่า จางฮุ่ยเฟิน (ฉลาดหลักแหลม) ท่านพ่อ ท่านย่า ชอบหรือไม่ขอรับ”
“พ่อมิมีปัญหา เจ้าลองไปปรึกษาท่านแม่ดีหรือไม่”
“ย่าก็มิมีปัญหาเช่นกัน ย่าชอบนะ มีความหมายที่ดี”
“เช่นนั้น พวกเราเข้าไปหาท่านแม่กันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงบอกทุกคนเมื่อท่านหมอออกมาจากห้องของหลี่อ้ายและอนุญาตให้ทุกคนได้เข้าไปเยี่ยมได้
พวกเขาเข้าเยี่ยมโดยบ้านจางเข้าไปก่อน แล้วจึงตามด้วยบ้านซุน ส่วนท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนออกไปทำธุระข้างนอกจวนกับท่านแม่ทัพตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วจึงยังไม่ทราบเรื่อง
จางอี้หมิงเข้าไปนั่งข้างมารดา เขาสวมกอดหลี่อ้ายไว้อย่างนุ่มนวลและเอ่ยถามถึงเรื่องการขอตั้งชื่อให้น้องน้อยอย่างออดอ้อน บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความสุข อย่างที่อานนท์เคยใฝ่ฝันเอาไว้เสมอ
จางอี้หมิงยืนมองขบวนเดินทางของท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องน้อยอีกสองคนจนขบวนหายลับไปจากสายตา เมื่อหลี่อ้ายแข็งแรงพอจะออกเดินทางแล้ว ครอบครัวจางจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านหลัวถงพร้อมกับป้ายวิญญาณของอดีตท่านผู้นำตระกูล เด็กน้อยถอนหายใจและหันหลังเดินกลับเข้าจวนไปด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ด้วยนี้เป็นครั้งแรกที่เขาต้องแยกจากบิดา มารดาและท่านย่า
ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างของจางอี้หมิงคนนี้ เขามีโอกาสได้มีความสุขกับน้องชายน้องสาวเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่มิเป็นไรหรอกเมื่อเขาหมดภาระต้องตอบแทนบุญคุณแล้วจะกลับมายังแคง้นฉินก็ยังมิสายเกินไป
ความตั้งมั่นต่อสิ่งที่จะทำตั้งแต่ฟื้นคืนมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ภารกิจเหล่านั้นเขาทำมันได้สำเร็จทุกอย่างแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการนำป้ายวิญญาณท่านปู่กลับไปที่หมู่บ้านหลัวถง การแก้แค้นตระกูลหลัก การมีอาชีพและฐานะที่ดีขึ้น การแบ่งปันความสุขและความสำเร็จต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เสร็จสิ้นไปทั้งหมดแล้ว ในแคว้นฉินนี้ เขามิมีสิ่งใดให้เป็นห่วงอีกต่อไป
“น้องชายหมิง พวกเราออกเดินทางกันเถอะ สายมากแล้ว”
เป็นอ๋องน้อยหนิงเทียนที่เดินเข้ามาวางมือลงไปบนบ่าเล็ก ๆ นั้นอย่างอ่อนโยน พร้อมกับเอ่ยเตือน
“ขอรับ”
จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชาย เขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันไปร่ำลาครอบครัวซุนที่ยืนส่งเขาอยู่เช่นกัน
“ท่านปู่ถง ท่านลุงเย่ ท่านป้าเจียวเม่ย ท่านพี่ซูลี่ ท่านพี่หมิงเย่ ข้าขอลาก่อน อีกไม่นานข้าจะกลับมาขอรับ จนกว่าจะถึงตอนนั้นโปรดทุกท่านรักษาตัวด้วยนะขอรับ” จางอี้หมิงเดินเข้าไปกอดทุกคนที่เขากล่าวถึง
“รักษาตัวด้วย หมิงเอ๋อร์” ทุกคนอวยพรให้เด็กน้อยโชคดี
“ขอบคุณขอรับ”
จางอี้หมิงเมื่อเอ่ยล่าทุกคนเสร็จแล้วจึงเดินไปขึ้นรถม้า ตามด้วยท่านอ๋องน้อยหนิงเทียน โดยมีบ้านซุนยกมือคารวะเอ่ยลาท่านอ๋องน้อยทั้งสองอย่างเต็มพิธีการ
“ออกเดินทางได้” ท่านแม่ทัพร้องตะโกนขึ้นก่อนที่ขบวนของผู้สูงศักดิ์แห่งแคว้นเหลียงจะได้เริ่มออกเดินทาง
จางอี้หมิงมองลอดออกไปนอกหน้าต่างของรถม้าที่เคลื่อนผ่านไปตามสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนผู้คน ก่อนที่จะค่อยๆหายไปจนเหลือแต่ป่าเขาและลำเนาไพร
เขามิรู้ว่าการเดินทางไปแคว้นเหลียงครั้งนี้จะเป็นเช่นไรแต่ก็หวังเพียงว่าเขาจะสามารถตอบแทนบุญคุณของทุกคนที่เคยช่วยเขาไว้แต่กาลก่อนให้จบสิ้นโดยเร็วได้ดั่งหวัง เขาจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่หลัวถงและใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่นอย่างมีความสุขตลอดไป
“น้องชายหมิง มิต้องเป็นกังวล การเดินทางไปแคว้นเหลียงในครั้งนี้ต้องมีแต่เรื่องที่ดีเป็นแน่”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้นขอรับ”
จางอี้หมิงละสายตาทิวทัศน์ด้านนอกรถม้า เขาเอ่ยตอบรับพี่ชายไปอย่างต้องการให้กำลังใจอ๋องน้อยหนิงเทียนและตัวเขาเองด้วย
เส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ให้สวรรค์เป็นผู้กำหนดเถิด หากทางที่เดินต่อไปต้องลำบาก เขาก็พร้อมรับมือทุกสถานการณ์
เพราะในตอนนี้เขาคือ จางอี้หมิง บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจางและอ๋องน้อยแห่งแคว้นเหลียง ผู้ที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักอย่างไม่เกรงกลัวอันใดเลยสักนิด
-จบบริบูรณ์-
บุตรชายตัวน้อยของบัณฑิตจาง เล่มสุดท้าย ได้จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ไรท์หวังว่าคุณรี้ดที่น่ารักทั้งหลายจะสนุกสนานกับเรื่องราวการสร้างฐานะของหมิงหมิงน้อยอย่างมีความสุขตลอดมานะคะ
ไรท์อยากขอรบกวนคุณรี้ด เพียงช่วยกดหัวใจให้คะแนน และรีวิวความเห็นหลังจากที่ได้อ่านจบไปแล้ว เพื่อเป็นกำลังใจให้กับไรท์ในการพัฒนางานเขียนเรื่องต่อไปในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นค่ะ
Thank you for your support.
การสนับสนุนของคุณมีความหมายอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไป ขอบคุณค่ะ/ครับ!
คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?