ตอนที่ 59 ต้นลูกหนาม

ซุนซูเย่ จางอี้เทาและชายฉกรรจ์ทั้งห้าเหลียวไปมองดงป่าลูกหนามตรงหน้าด้วยความสงสัย เหตุใดเด็กน้อยถึงบอกว่าต้นลูกหนามใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนฟืนได้ พวกเขาอยู่มากันตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายหาได้รู้ถึงประโยชน์ของต้นลูกหนามไม่ แต่นี้เด็กน้อยตรงหน้าอายุเพียงแค่ห้าขวบปี เหตุใดถึงได้รู้จักประโยชน์ของมันเล่า

“หมิงเอ๋อร์ มิใช่ว่า...” จางอี้เทายังพูดไม่ทันจบ จางอี้หมิงจึงรีบแย้งขึ้นมาทันที

“ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ ท่านพ่อจำมิได้หรือขอรับ ในหนังสือของท่านพ่อที่ให้ข้าดูตอนที่อยู่เมืองหลวง มันมีต้นลูกหนามในหนังสือนั้นด้วย ข้าเก่งหรือไม่ขอรับท่านพ่อ ข้าจำได้ทุกอย่างเลย ข้าเก่งเช่นนี้ท่านพ่อต้องให้รางวัลข้าด้วยนะขอรับ”

จางอี้หมิงรีบส่งสัญญาณให้บิดาเข้าใจก่อนที่จางอี้เทาจะหลุดความลับออกมาว่าความจริงแล้วเขามีความรู้มาจากเมืองสวรรค์

อย่าหลุดนะขอรับท่านพ่อ ตามน้ำให้ข้าหน่อยเถิด

“ชะ ใช่ ใช่แล้ว หมิงเอ๋อร์ เจ้าเก่งมาก เช่นนั้นหมิงเอ๋อร์ลองทวนประโยชน์ของต้นลูกหนามให้พ่อฟังอีกทีสิว่าสิ่งที่ลูกบอกมาถูกต้องหรือไม่” จางอี้เทารับไม้ต่อที่บุตรชายส่งมาให้อย่างทันท่วงที สมแล้วกับที่เป็นบัณฑิต 

“พวกเราเข้าไปดูใกล้ ๆ กันเถอะขอรับ” จางอี้หมิงบอกทุกคนให้เดินตามเข้าในในป่าลูกหนาม 

ด้วยพวกมันมีลำต้นที่ใหญ่และขึ้นตามธรรมชาติด้วยความหนาแน่น ใต้ต้นลูกหนามจึงไม่ค่อยมีหิมะหนามากนัก เด็กน้อยมองดูจนทั่วแล้วหันหน้ากลับมาบอกต่อ

“ท่านพ่อ ท่านลุงเย่ ท่านน้า ท่านลุงทั้งหลาย สิ่งที่ข้าจะบอกต่อไปนี้จะต้องไม่แพร่งพรายให้คนอื่นทราบเป็นอันขาด เพราะตอนนี้อย่างที่รู้ ทุกพื้นที่ต่างขาดแคลนฟืน หากข่าวว่าหมู่บ้านหลัวถงมีสิ่งที่ใช้แทนฟืนได้จะเกิดอันใดขึ้น พวกท่านคงคิดได้นะขอรับ พวกเราค่อยกลับไปปรึกษากันที่บ้านท่านปู่ถงอีกที ตอนนี้ข้าอยากให้พวกท่านพยายามเก็บลูกหนามที่หล่นอยู่ใต้ต้นมาให้ได้มากที่สุด พวกท่านต้องโกยหิมะออกไปก่อน แล้วเลือกเอาที่มันเป็นลูก ๆ ลูกหนามคงทับทมมานานหลายสิบหลายร้อยปีจนกลายเป็นปุ๋ยเป็นดินไปแล้ว  ไม่ต้องแปลกใจหากมันจะเป็นสีดำและเปียก เพราะมันอยู่ใต้หิมะนั่นเองขอรับ” จางอี้หมิงบอกทุกคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงพยายามมองขึ้นไปบนต้นลูกหนามอีกที

ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ลูกหนามก็แน่นเต็มตะกร้าไม้ไผ่ของชายฉกรรจ์ทั้งห้ารวมทั้งซุนซูเย่ด้วย มีเพียงจางอี้เทาที่ไม่ได้เอาตะกร้ามาเพราะเขาต้องแบกจางอี้หมิงเดินทางนั่นเอง

“ถ้าหิมะยังตกหนักเช่นนี้ ข้าคงมาที่นี่อีกไม่ได้ แต่ข้าสามารถสอนพวกท่านได้ว่าต้องทำเช่นใด ก่อนอื่น ให้เก็บลูกหนามที่หล่นใต้ต้นมาใช้ก่อน หากไม่พอเราค่อยเก็บจากบนทะลาย ให้สังเกตสีของลูกหนามว่าต้องมีสีแดงเท่านั้นถึงใช้ได้ ณ ตอนนี้ ข้าว่าแค่ลูกหนามใต้ต้นนี้คงเพียงพอช่วยเหลือชาวเมืองไห่ถังทั้งเมืองแล้วขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายให้ชาวบ้านและบิดาฟังอย่างละเอียด

“หมิงหมิงน้อย แล้วเจ้าลูกหนามดำ ๆ นี้มันจะเป็นเชื้อเพลิงได้เช่นไร” ชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

“ไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ ท่านลุงเห็นก้านและกิ่งของต้นหนามหรือไม่ขอรับ หากเราตัดออกมา แล้วปล่อยให้มันแห้ง ก็สามารถทำแทนฟืนได้ เราต้องตัดก้านกิ่งมันออก ถึงจะตัดลูกหนามได้ขอรับ ต้องเลือกมีดที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นคนตัดจะได้รับบาดเจ็บจากหนามที่อยู่ตามลำต้นและทลายขอรับ” 

“หวังว่ามันจะใช้แทนฟืนได้จริง ๆ” 

“ใช้ได้แน่นอนขอรับ มันกินได้ด้วยนะขอรับ แต่ว่าเราค่อยมาคุยกันตอนฤดูร้อนจะดีที่สุดขอรับ” จางอี้หมิงยิ้มให้กำลังใจ ตอนนี้เขามองไปทางไหนก็ดูมีความสุขไปเสียหมด

ลูกหนามมากมายขนาดนี้ เพียงพอให้หมู่บ้านหลัวถงรอดจากภัยหนาวแน่นอน

“เช่นนั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ” ซุนซูเย่เอ่ยสรุปแล้วจึงเดินนำทุกคนมุ่งหน้ากลับบ้านตนเอง

 ในวันเดียวกัน ณ โถงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านหลัวถง หิมะยังคงตกอย่างหนัก ซุนซูลี่และซุนหมิงเย่นอนอยู่บนเตียงอุ่นไม่ยอมลุกขึ้นมาตลอดทั้งวันเพราะอากาศช่างหนาวเย็นยิ่งนัก ตะกร้าไม้ไผ่หกอันซึ่งเต็มไปด้วยก้อนดำ ๆ เปียก ๆ อยู่เต็มตะกร้าวางอยู่ตรงหน้าซุนถง พร้อมกับทุกคนที่กลับมาจากชายป่าลูกหนามด้วยสภาพหิมะเต็มตัว

“นี่คืออันใด” ซุนถงเอ่ยถามขึ้น

“ท่านปู่ถง นี้คือลูกหนามเช่นไรเล่าขอรับ” จางอี้หมิงเป็นผู้ตอบคำถาม

“ปู่รู้จักลูกหนาม แต่เหตุใดถึงได้เอาลูกหนามกลับมาบ้านมากมายเช่นนี้เล่า” ซุนถงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

“นี่คือเชื้อเพลิงที่เราจะใช้แทนฟืนเช่นไรเล่าขอรับท่านปู่ถง” จางอี้หมิงตอบคำถามอีกครั้ง

“เจ้าว่ากระไรนะหมิงหมิงน้อย ผลลูกหนามนี้สามารถทำเป็นเชื้อเพลิงได้เช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงมิรู้มาก่อนเล่า” ซุนถงถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ท่านลุงเย่ ช่วยเอาผลลูกหนามไปทุบให้แตกหน่อยนะขอรับแล้วเอาไปจุดไฟ แล้วมาดูกันว่ามันติดไฟหรือไม่ แต่ท่านลุงอย่าเอาไปใส่ในเตาไฟนะขอรับ ลองจุดข้างนอกแล้วมาดูกันว่าหนึ่งลูกใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะดับ” จางอี้หมิงหันไปขอร้องซุนซูเย่ให้ทำการพิสูจน์ให้ได้ดูพร้อมกัน

บ้านของชาวบ้านทั่วไปมีเตียงอุ่น แต่ไม่มีเตาผิงไฟเหมือนกับบ้านจาง ดังนั้นพวกเขาถึงได้จุดไฟไว้ที่เตาในห้องครัวที่ต่อท่อไปถึงเตียงในห้องนอน จางอี้หมิงทึ่งกับสิ่งประดิษฐ์ของคนสมัยโบราณไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าจะคิดค้นทำอันใดแบบนั้นขึ้นมาได้

“ได้ เดี๋ยวลุงจัดการให้” 

ซุนซูเย่ถือลูกหนามเข้าไปในครัวแล้วทำตามที่จางอี้หมิงบอก เขาหาไม้ท่อนขนาดไม่ใหญ่มากนักมาทุบให้ลูกหนามแตก แล้วจึงใช้ไม้เล็ก ๆ ไปจุดไฟต่อเชื้อในเตาแล้วนำมาจุดที่ลูกหนาม พวกมันถูกทุบจนแยกออกจากกันไม่เป็นผลตามปกติ ข้างในมีใยหยาบ ๆ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการติดไฟ เพราะถึงแม้ข้างนอกจะเปียกแต่ข้างในยังคงแห้ง

ชาวบ้าน จางอี้เทา แม้แต่ซุนถงก็เดินตามจางอี้หมิงเข้าไปที่ห้องครัวของบ้านซุนด้วย ใช้เวลาไม่นาน ไฟที่ซูเย่จุดก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ 

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน มันติดไฟจริง ๆ ด้วยขอรับ” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

“มันติดไฟจริง ๆ ด้วย” ชาวบ้านอีกคนกล่าวเสริมขึ้นมาเช่นกัน

“เราจะมาพิสูจน์กันว่าในหนึ่งผลมันติดไฟได้นานแค่ไหน ให้ความร้อนมากน้อยเพียงใด” จางอี้หมิงบอกชาวบ้านให้ตั้งใจดูผลลูกหนามนั้น ซุนซูเย่จึงเอามือไปอังที่เปลวไฟเพื่อพิสูจน์ต่อ

“โอ้ มันร้อนจริง ๆ ด้วย” ซุนซูเย่รีบชักมือออกจากเปลวไฟแทบไม่ทัน

ผลลูกหนามมันให้ความร้อนได้จริง ๆ!

“ท่านลุงเย่ ลองเอาลูกหนามหลาย ๆ ผลใส่ลงไปแทนฟืนสิขอรับ” จางอี้หมิงแนะนำ

“ได้ ๆ” 

“เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้หากผลลูกหนามอันนี้ไฟดับลงให้ไปแจ้งข้า” ซุนถงบอกลูกบ้านคนหนึ่งก่อนที่จะชวนทุกคนออกไปคุยกันต่อที่โถงบ้าน

“เจ้าลูกหนามสามารถติดไฟได้นี่คงมิใช่เป็นบ้านจางคิดได้อีกใช่หรือไม่” ซุนถงเอ่ยถาม

“ใช่แล้วท่านพ่อ เป็นบ้านจางที่รู้จักต้นลูกหนามและแนะนำให้พวกข้าเก็บกลับมาและสอนวิธีการใช้ การเก็บให้ขอรับ” ซุนซูเย่อธิบายให้บิดาได้รับฟัง

“บ้านสกุลจางนี้เก่งกาจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเรื่องอันใด ครอบครัวนี้ก็ไม่เคยนิ่งดูดาย คอยแต่ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านมาตลอด ข้าในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน ขอเป็นตัวแทนชาวบ้านหลัวถงขอบคุณสกุลจางในการแก้ไขปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงในครั้งนี้ด้วย” ซุนถงถึงกับลุกขึ้นยกมือแล้วโค้งให้กับจางอี้เทาและจางอี้หมิง ชาวบ้านคนอื่นรวมทั้งซุนซูเย่ก็ลุกขึ้นคารวะด้วยเช่นกัน

เดือนร้อนจางอี้เทาต้องรีบลุกขึ้นประคองให้ซุนถงนั่งลงทันที

“ท่านลุงถง ครอบครัวของข้ารับความดีความชอบครั้งนี้มิได้ขอรับ เป็นพวกเราทุกคนต่างหากที่ช่วยกัน มิใช่เพราะบ้านจางเพียงบ้านเดียวหรอกขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยแก้อย่างถ่อมตน

“อย่าได้ถ่อมตนไปเลย เพราะบ้านสกุลจางหาอาชีพให้กับชาวบ้าน ในปีนี้ชาวบ้านถึงมีอาหารเพียงพอทั้งฤดูหนาว หากภัยหนาวไม่ลากยาวนานออกไปเช่นนี้ ชาวบ้านก็ไม่มีปัญหา แม้แต่ภัยหนาวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สกุลจางยังคิดหาทางแก้ปัญหาอีกด้วย ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก” ซุนถงเอ่ยพลางน้ำตาเอ่อคลอด้วยความตื้นตันใจ

“ครอบครัวข้าก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ต้องช่วยกันหาทางแก้ไข” จางอี้เทาตอบ

“ท่านปู่ถงขอรับ ข้าว่าเราพักความซาบซึ้งใจไว้ก่อนดีหรือไม่ มาปรึกษากันถึงเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นกันก่อนขอรับ หมู่บ้านหลัวถงมีต้นลูกหนามไกลสุดลูกหูลูกตา ข้าคิดว่าหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้ทะเลคงมีต้นลูกหนามเช่นกัน ในเมื่อหมู่บ้านหลัวถงได้รับผลกระทบเรื่องเชื้อเพลิง ข้าคิดว่าหมู่บ้านอื่นก็คงมีปัญหาเช่นเดียวกัน ประโยชน์ของต้นลูกหนามนั้นมิใช่เพียงแค่ใช้จุดไฟได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมาก หากเราแจ้งข่าวนี้ให้กับชาวบ้านหมู่บ้านอื่น เช่นนั้นในอนาคตกลุ่มการค้าหลัวถงจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้น พวกท่านคิดเห็นเช่นไร” 

จางอี้หมิงถามสิ่งนี้เพื่อวัดใจหัวหน้าหมู่บ้าน เขาก็อยากรู้ว่าหากท่านปู่ถงรู้ถึงประโยชน์ในอนาคตเช่นนี้ ยังจะเห็นถึงคุณธรรมหรือไม่ มากไปกว่านั้น เรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มการค้าเช่นนี้ไม่ควรตัดสินใจคนเดียว ถามความเห็นของสมาชิกทุกคนจะเป็นผลดีกว่า

“หมิงหมิงน้อยชีวิตคนสำคัญที่สุด ถึงแม้ในอนาคตกลุ่มการค้าหลัวถงจะมีคู่แข่งการค้าเพิ่มมากขึ้น แต่เฉพาะแค่น้ำตาลผักกับเกลือผักก็ทำให้ชาวบ้านมีอาชีพที่ดี เพียงพอในการเลี้ยงตัวเองแล้ว ข้าเลือกช่วยเหลือหมู่บ้านอื่น แล้วพวกเจ้าเล่าคิดเห็นเช่นไร” ซุนถงเอ่ยตอบจางอี้หมิงทันทีโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะหันไปถามชาวบ้านที่เหลือ

“ท่านหัวหน้า ข้าก็เลือกชีวิตคนไว้ก่อน หากข้าเป็นคนหมู่บ้านอื่น ข้าคงโกรธแค้นชาวบ้านหลัวถงเป็นอย่างมากหากมารู้ที่หลังว่ามีของดีแต่ไม่ช่วยเหลือ เพียงแค่แบ่งปันความรู้เท่านั้น หาได้เป็นเจ้าของต้นลูกหนามไม่” ชาวบ้านคนอื่นเอ่ยบ้าง

“ข้าก็เลือกชีวิตคน” ชาวบ้านคนอื่นตอบอย่างพร้อมเพรียง

ปรากฏว่าทุกคนต่างเลือกที่จะไม่เห็นแก่ตัวและเลือกช่วยชีวิตคนอื่นเป็นอันดับแรก ทำให้จางอี้หมิงถึงกับยิ้มด้วยดีใจ

นั่นสินะ เขาไม่น่าระแวงชาวบ้านและหัวหน้าหมู่บ้านเลย ครอบครัวของเขาเมื่อย้ายมาที่นี่ใหม่ ๆ ก็ได้ชาวบ้านช่วยเหลือทุกอย่าง เขาตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกช่วยเหลือชาวบ้านหลัวถงแห่งนี้

เขาถูกแม่ครูสั่งสอนมาตลอดยี่สิบห้าปีของชาติที่เป็นอานนท์ว่าการแบ่งปัน ความไม่เห็นแก่ตน เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนสมควรยึดถือ หากไม่มีการแบ่งปันแล้ว บ้านอุ่นไอรักและตัวเขาคงไม่ได้เติบโตขึ้นมาจนถึงวันนี้ เขาจึงอยากจะแบ่งปันเช่นกัน

“แล้วเราจะหาวิธีไหนในการแจ้งข่าวเล่า แล้วจะแจ้งกับใคร” ซุนซูเย่เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เราเป็นเพียงชาวบ้านคงทำการอันใดมากไม่ได้ คงต้องไปปรึกษาท่านเจ้าเมือง แต่ว่าอย่าลืมหนึ่งเรื่อง หากชาวบ้านแก้ไขปัญหาเชื้อเพลิงได้ อาจจะมีผู้เสียผลประโยชน์ขึ้นมา ดังนั้นเราจะให้ชาวบ้านอื่นรู้ไม่ได้ว่าการแก้ไขปัญหามาจากหมู่บ้านหลัวถง” จางอี้เทาเตือนด้วยความเป็นห่วง

เขาเคยอยู่เมืองหลวง เคยอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากและกลุ่มผู้รักผลประโยชน์ส่วนตน ดังนั้นเรื่องพวกนี้ จางอี้เทาย่อมรู้ดี

“ใช่แล้วขอรับท่านพ่อ ข้าเห็นด้วย เรื่องนี้เราควรปรึกษากันให้ดีกว่านี้” จางอี้หมิงสนับสนุนความคิดเห็นของบิดา

“เช่นนั้นพรุ่งนี้เราก็เข้าเมืองไปสืบข่าวก่อน หากยังเกิดปัญหาค่อยเข้าไปหาท่านเจ้าเมืองก็แล้วกัน” ซุนถงสรุปความ

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ไฟดับแล้วขอรับ” ชาวบ้านที่เฝ้าลูกหนามอยู่ตามคำของซุนถงเดินเข้ามาแจ้ง เมื่อเห็นว่าไฟดับสนิทแล้ว

“โอ้ จุดไฟได้นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซุนซูเย่อุทานขึ้นมา เนื่องจากเวลาที่เริ่มจุดไฟจนถึงตอนนี้กะเวลาแล้วสามารถจุดไฟได้นานถึงหนึ่งเค่อ

“ท่านปู่ถง หากว่าเราใช้จำนวนลูกหนามในการจุดแต่ละครั้งพร้อมกันหลายลูกจะจุดได้นานขึ้นและไฟจะแรงขึ้นด้วยขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเพิ่ม 

“นับเป็นข่าวดีจริง ๆ เช่นนั้นทุกคนก็กลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าข้าจะประชุมลูกบ้าน วันถัดไปเราจะเดินทางเข้าเมืองไห่ถังกัน” ซุนถงสรุปงานในวันนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ในที่สุดปัญหาหนักอึ้งก็ได้รับการแก้ไขแล้ว

 

ในเมืองไห่ถังที่กำลังเต็มไปด้วยผู้คนที่หิวโหยและป่วยไข้จากภัยหนาว หิมะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกถึงแม้เจ้าเมืองจะนำอาหารออกมาแจกจ่าย แต่เสบียงเหล่านั้นก็เริ่มไม่เหลือแล้ว

เชื้อเพลิงกำลังจะหมดลง การติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากเมืองหลวงยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะถนนหนทางถูกตัดขาด เมืองไห่ถังจึงเข้าขั้นวิกฤตจนถึงที่สุด

“เจ้าว่าชาวบ้านเริ่มก่อการจลาจลเพื่อเรียกร้องหาอาหารแล้วเช่นนั้นหรือ” ชายวัยสูงอายุผู้หนึ่งเอ่ยถาม เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าไหมชั้นดี บนตัวคลุมด้วยเสื้อหนังสัตว์ รอบห้องทำงานที่เขานั่งอยู่มีเตาจุดให้ความอบอุ่นเสมือนว่าเรื่องเชื้อเพลิงมิใช่ปัญหา

“ขอรับนายท่าน” ชายอีกคนที่อายุไม่ต่างกันขานรับ สถานะคล้ายกับที่ปรึกษาของชายสูงอายุคนนั้น

“ดีมาก รออีกสักสามวันค่อยจัดการปล่อยสินค้าออกไป เพิ่มราคาเป็นห้าเท่า” 

“นายท่าน จะมิเป็นการโหดร้ายเกินไปหรือขอรับ” ชายคนนั้นเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ

“ข้าเป็นพ่อค้า หากมิเพิ่มราคาในช่วงนี้แล้วจะหาโอกาสทองเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ ข้ามิใช่นักบุญที่จะได้กักตุนสินค้าทั้งหมดเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้าน เจ้าก็รู้ว่าข้าสิ้นเปลืองเงินทองไปมากเท่าไรในการลงทุนครั้งนี้ จงทำตามที่ข้าบอกเพียงเท่านั้น” ชายสูงวัยบอกแล้วโบกมือไล่ให้ที่ปรึกษาออกไปให้พ้นหน้า

เมื่อประตูห้องปิดลง เขาจึงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจตนเองนักหนา

“หึ นักบุญเช่นนั้นหรือ ข้าไม่เคยรู้จัก เงินทองเท่านั้นที่ข้าปรารถนา ฮะ ฮะ ฮะ” 

ราวกับนวนิยายยุคปัจจุบัน ในขณะที่บ้านจางกำลังปรึกษาหารือให้การช่วยเหลือชาวเมืองไห่ถังกับบ้านซุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือเรื่องเชื้อเพลิง พวกเขามิได้ล่วงรู้เลยว่าความหวังดี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตนเองจะนำภัยมาให้กับครอบครัวและชาวบ้านหลัวถงในอนาคตอันใกล้นี้

เด็กน้อยคงยังไม่รู้ว่าความโลภของคนในโลกนี้มิได้แตกต่างไปจากโลกเก่า คนพวกนั้นมองเห็นเพียงผลประโยชน์ ใครมาขวางก็พร้อมกำจัดออกไปให้พ้นทาง

บางทีเรื่องนี้อาจใหญ่เกินไปกว่าใครจะจัดการได้

จางอี้หมิงกำลังสร้างภัยให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ยืนยันการสนับสนุน

คุณต้องการสนับสนุนนักเขียนด้วยจำนวนเงิน [จำนวนเงิน] บาท ใช่หรือไม่?

โพสต์ข้อความ